เหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

จาก wikishia

เหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (ภาษาอาหรับ : (س)واقعة الهجوم على بيت الزهراء ) หมายถึง เหตุการณ์การบุกรุกบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) บุตรีศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) โดยอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ พร้อมเหล่าผู้ติดตาม เพื่อเรียกให้อะลีและผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ทำการสัตยาบัน (บัยอะฮ์) กับอบูบักร ตามแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และซุนนี รายงานว่า เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ( วันที่ 28 ศอฟัร ปี 11 ฮ.ศ.) อุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ ได้ข่มขู่ว่า จะทำการเผาบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) หากไม่มีผู้ใดออกมาจากบ้านหลังนี้

ในหนังสือซะลีม บิน กัยส์ อิษบาตุลวะศียะฮ์ และตัฟซีร อัยยาชี จากแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ บันทึกไว้ว่า เหตุการณ์นี้นำไปสู่การพังประตูและเผาบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นเหตุทำให้ท่านหญิงต้องแท้ง มุฮ์ซิน ทารกในครรภ์ของท่านหญิง และหลังจากนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง ท่านหญิงก็เป็นชะฮีด แหล่งข้อมูลของซุนนี ปฏิเสธการจุดไฟเผาประตูและทำร้ายท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และผู้รายงานเรื่องนี้ ถูกกล่าวหาว่ าเป็นรอฟิฎีย์

เกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆของเหตุการณ์นี้ กล่าวกันว่า อบูบักรต้องการที่ได้รับคำสัตยาบันจากอิมามอะลี (อ.) เพื่อทำให้สถานภาพของเขา ในฐานะที่เป็นเคาะลีฟะฮ์ของตน มีความมั่นคง มุฮัมมัดฮาดี ยูซุฟี ฆ็อรวี (ถือกำเนิด ปี 1327 สุริยคติอิหร่าน ) นักวิจัยประวัติศาสตร์อิสลาม กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ประมาณ 50 วัน หลังจากการอสัญกรรมของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)

ตามรายงานจากหนังสือซะลีม และหนังสือ อัลอิมามะฮ์ วัลซิยาซะฮ์ บันทึกว่า ในระหว่างการพบปะของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กับอบู บักร และอุมัร ท่านหญิงได้กล่าวถึงฮะดีษ บัฎอะฮ์ โดยท่านหญิงขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า ทั้งสองคนนี้ได้รังแกและทำให้ท่านหญิงมีความโกรธเป็นอย่างมาก ในแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลุลซุนนะฮ์ รายงานว่า อบูบักร กล่าวในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า หากเป็นไปได้ จะไม่มีคำสั่งให้บุกรุกบ้านของฟาฏิมะฮ์เป็นอันขาด

ฐานภาพและความสำคัญ

เหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเอาคำสัตยาบันจากอิมามอะลี (อ.) สำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของอบูบักร (1) จนเป็นเหตุให้ท่านหญิงเป็นชะฮีด (2) ถือว่า เป็นประเด็นที่มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างชีอะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ บางแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ในยุคแรก เช่น กิตาบซะลีม อิษบาตุลวะศียะฮ์ ตัฟซีรอัยยาชี และ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์ ได้กล่าวรายงานถึงเหตุการณ์การโจมตีและผลสะท้อนที่จะตามมา [3] และในทางตรงกันข้าม แหล่งข้อมูลของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ได้รายงานถึงการปฏิเสธการเผาประตูบ้านและการแท้งของมุฮ์ซินและถือว่า ผู้ที่รายงานเรื่องนี้ เป็นรอฟีเฎาะฮ์ และไม่น่าเชื่อถือ (4)

การไว้อาลัยของบรรดาชีอะฮ์ในช่วงสัปดาห์ฟาฏิมียะฮ์ บรรดาชีอะฮ์ที่เข้าร่วมไว้อาลัยเนื่องในวันครบรอบการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ซึ่งเรียกกันว่า เป็นช่วงอัยยามฟาฏิมียะฮ์ (5)

สถานภาพบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และบรรดาผู้ร่วมอยู่ในบ้าน

มีริวายะฮ์ รายงานจากชีอะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ กล่าวว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้แนะนำบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอะลี เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของบ้านทั้งหลายซึ่งถูกกล่าวไว้ในโองการนี้ : فِی بُیوتٍ أَذِنَ اللهُ أَن تُرْ‌فَعَ وَیذْکرَ فِیهَا اسْمُهُ یسَبِّحُ لَهُ فِیهَا بِالْغُدُوِّ وَالْآصَالِ ในบ้านทั้งหลาย อัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้เทิดเกียรติและรำลึกพระนามของพระองค์ เพื่อที่จะแซ่ซ้องสดุดีแด่พระองค์ในนั้น ทั้งยามรุ่งอรุณและยามสนธยา (6)

ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ รายงานว่า ที่มาของการประทานโองการอัลกุรอานที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ( หมายถึง อิมามอะลี (อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อิมามฮะซัน (อ.) และอิมามฮุเซน (อ. เช่น อายะฮ์ อิฎอาม [7] และอายะฮ์ ตัฏฮีร[8]

ปัจจัยและบริบทต่างๆ

หลังจากการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) พวกมุฮาญิรีนบางส่วนและกลุ่มอันศอร ได้รวมตัวกัน ณ ซะกีฟะฮ์ บะนี ซาอิดะฮ์ เพื่อทำการตกลงกันในการเป็นดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของอะบูบักร และให้คำสัตยาบันกับเขา (9) อิบนุ กะษีร กล่าวว่า การให้สัตยาบันกับอะบูบักรเกิดขึ้นก่อนการฝังศพของศาสดา [10] ในช่วงเวลาที่อิมามอะลี (อ.) กำลังจัดเตรียมศพของศาสดาเพื่อทำการฝัง (11)

ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้แนะนำ อะลี บินอะบีฏอลิบ ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งของตน เมื่อวันที่ 18 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีที่ 10 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช หลังจากที่เขากลับจากฮัจญะตุลวิดาอ์ [12] และอุมัร บินค็อฏฏอบ ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมแสดงความยินดีกับเขาในวันนั้น (13)

ฮุเซน มุฮัมมัด ญะอ์ฟะรี ผู้เขียนหนังสือ ตะชัยยุอ์ ในวิถีแห่งประวัติศาสตร์ กล่าวว่า อะบูบักรและอุมัร เนื่องด้วยความกลัวและปฏิกิริยาที่รุนแรงจากอิมามอะลี (อ.) หรือเหล่าผู้ติดตามเขา จึงเรียกร้องพวกเขาไปให้คำสัตยาบัน และเมื่อต้องเผชิญกับความไม่เต็มใจของพวกเขา พวกเหล่านั้น จึงต้องใช้กำลังและความรุนแรง[14]

คำอธิบายของเหตุการณ์

ยะอ์กูบี นักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 3 รายงานว่า ในเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ บะนีซาอิดะฮ์ บรรดาเศาะฮาบะฮ์บางคน เช่น อับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบ ฟัซล์ บิน อับบาส ซัลมาน ฟารซี อะบูซัร ฆิฟารี อัมมาร ยาซิร และบะรออ์ บิน อาซิบ ได้ปฏิเสธที่จะให้คำสัตยาบันกับอะบูบักร [15] ซัยยิดมุรตะฎอ อัสกะรี นักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 15 กล่าวว่า กลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธให้คำสัตยาบันกับอบูบักร พวกเขาได้เข้าร่วมประท้วงกันอยู่ในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) 16] เฏาะบะรี รายงานว่า ฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์ ก็ร่วมอยู่ในหมู่ผู้ประท้วงในบ้านหลังนั้น (17)

คำสั่งของอะบูบักรให้เอาคำสัตยาบันจากอะลี (อ.) และพันธมิตรของเขา

หลังจากที่การให้คำสัตยาบันกับอะบูบักรสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาของบรรดาเศาะฮาบะฮ์บางคนที่ยังไม่ได้ให้คำสัตยาบันกับเขา [18] ตามรายงานจากหนังสือ อัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ เขียนโดยอิบนุกุตัยบะฮ์ ระบุว่า อะบูบักร์ ได้ส่งอุมัร และกุนฟุซ ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ถึง 4 ครั้ง เพื่อเรียกร้องให้อะลี (อ.) และกลุ่มผู้ประท้วงที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ออกมาให้คำสัตยาบัน (19) ตามรายงานนี้ ในครั้งแรก กลุ่มผู้ชายที่อยู่ในบ้านหลังนี้ หลังจากที่พวกเขาถูกอุมัรข่มขู่ พวกเขาจึงได้ออกมาให้คำสัตยาบัน ยกเว้น อิมามอะลี (อ.) ที่เขากล่าวว่า ขอสาบานต่อพระเจ้าว่า ตราบใดที่อัลกุรอานยังรวบรวมไม่เสร็ฐสิ้น เขาจะไม่ออกจากบ้านเป็นอันขาด ในครั้งที่สองและที่สาม อะบูบักรได้ส่งกุนฟุซไปที่บ้านของฟาฏิมะฮ์ ซึ่งได้รับคำตอบในเชิงลบด้วยเช่นกัน [หมายเหตุ 1] และในครั้งที่สี่ อุมัรพร้อมด้วยกลุ่มผู้คนจำนวนหนึ่งได้ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ และลากตัวของอะลี (อ.) ให้ออกไปและนำตัวเขาไปหาอะบูบักร (21) มุฮัมมัดฮาดี ยูซุฟี ฆ็อรวี นักวิจัยประวัติศาสตร์อิสลามและชีอะฮ์ กล่าวว่า อะบูบักร ได้ส่งผู้คนไปที่บ้านของอิมามอะลีถึงสามครั้งและเรียกร้องให้คำสัตยาบัน ในครั้งแรกและครั้งที่สอง อิมามอะลีก็ปฏิเสธและให้พวกเขากลับไป ส่วนในครั้งที่สาม เคาะลีฟะฮ์และเหล่าผู้สนับสนุนเขา ก็เริ่มแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ [22]

ในหนังสือ อัลอิคติศ็อซ ของเชคมุฟีด เขียนว่า เมื่อท่านอะลี (อ.) ถูกนำตัวไปยังมัสยิด ซุบัยร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมอยู่ในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ชักดาบออกมาและพูดว่า: โอ้บุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ! พวกคุณยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ในขณะที่อะลีถูกกระทำเช่นนี้? เขาจึงโจมตีอุมัร แต่คอลิด บิน วะลีดได้ขว้างก้อนหินใส่เขา และดาบก็หล่นจากมือของเขา อุมัรจึงหยิบดาบฟาดลงบนก้อนหินจนแตกหัก[23] เฏาะบะรี นักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 3 รายงานว่า ซุบัยร์ ได้ลื่นล้มในขณะที่เขาออกจากบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ แล้วดาบก็หล่นจากมือของเขา (24)

หลังจากนั้น พวกเขาก็พาท่านอะลี (อ) ไปหาอะบูบักร และข่มขู่เขาว่า หากเขาไม่ให้คำสัตยาบัน เขาจะถูกตัดศีรษะ (25) ในกิตาบซะลีม รายงานว่า ท่านอะลี (อ) ได้โต้แย้งหลายครั้งและย้อนรำลึกถึงคำกล่าวของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในวันเฆาะดีร และในวโรกาสอื่นๆ เกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งของเขา ท่ามกลางผู้ที่ร่วมอยู่ ณ สถานที่นั้น แต่อะบูบักรกลับพูดขึ้นว่า เขาได้ยินมาจากศาสดาว่า ตำแหน่งศาสดาและคอลีฟะฮ์ จะไม่ถูกรวบรวมไว้ในอะฮ์ลุลบัยต์ของเขา [26]

เชคมุฟีด กล่าวว่า อิมามอะลี (อ.) ไม่ได้ให้คำสัตยาบันกับอะบูบักรในวันซะกีฟะฮ์ แต่มีรายงานที่แตกต่างกันว่า เขาให้คำสัตยาบันในภายหลังหรือไม่ รวมทั้งเขาได้ให้คำสัตยาบันหลังจากสี่สิบวัน หรือหกเดือน หรือหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เชคมุฟีด เชื่อมั่นว่า ท่านอะลี (อ.) ไม่ได้ให้คำสัตยาบันเลย [27]

มีริวายะฮ์ รายงานว่า เมื่อพวกเขาได้ข่มขู่ท่านอะลี (อ.) ว่า เขาจะถูกตัดศีรษะ หากเขาไม่ให้คำสัตยาบัน อับบาส ลุงของศาสดาได้จับมือของอะลี (อ.) เพื่อช่วยเขา และได้ดึงมือของอะบูบักรออก และพวกเขาก็ปล่อยตัวอะลี (อ.) เช่นกัน [28] ] แต่จากรายงานของหนังสือ อัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ เขียนว่า อะบูบักร พูดว่า อะลีบอกว่า ตราบใดที่ฟาฏิมะฮ์ยังอยู่เคียงข้างเขา เขาจะไม่บังคับอะลีให้คำสัตยาบัน [29]

ปฏิกิริยาของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

หลังจากที่ผู้ส่งสารของอะบูบักร ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เพื่อนำตัวอะลี (อ.) และบรรดามิตรของเขา ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ก็ไปที่ประตูแล้วกล่าวว่า: ฉันไม่รู้จักคนใดที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าพวกคุณ พวกคุณทิ้งร่างของศาสนทูตของพระเจ้าไว้กับเรา และพวกคุณตัดสินใจ [เกี่ยวกับเคาะลีฟะฮ์] และไม่ถามความเห็นของเรา ไม่ให้สิทธิของเรา แก่เรา (30)

ในครั้งที่สี่ เมื่ออุมัรนำตัวอิมามอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ตะโกนว่า : “โอ้พ่อจ๋า! โอ้ ศาสนทูตของพระเจ้า! หลังจากท่านจากไปแล้ว บุตรของค็อฏฏอบและบุตรของอบูฆุฮาฟะฮ์ ได้กระทำอะไรกับเราบ้าง? กลุ่มผู้ที่ร่วมทางของอุมัรจำนวนหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวก็รู้สึกเสียใจและกลับไป (31)

ยะอ์กูบี กล่าวว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กล่าวกับผู้ที่บุกรุกเข้าไปในบ้านของนางโดยใช้กำลังว่า ฉันสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า หากพวกคุณไม่ออกไป ฉันจะร้องขอความยุติธรรมจากพระเจ้า ด้วยคำกล่าวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ทุกคนที่อยู่ในบ้านก็ออกไป[32] อะบูบักร เญาฮะรี (เสียชีวิตในปี 323 ฮ.ศ.) ได้เขียนในหนังสือ อัซซะกีฟะฮ์ วะ ฟะดัก ว่า เมื่ออุมัรใช้กำลังพาตัวท่านอะลี (อ.) ออกจากบ้าน ฟาฏิมะฮ์ (อ.) ก็เดินไปที่ประตูบ้านแล้วพูดกับอบูบักรว่า คุณทำร้ายครอบครัวของศาสดาแห่งพระเจ้า (อ.) เร็วเพียงใด! ฉันสาบานต่อพระเจ้าว่า ฉันจะไม่พูดกับอุมัร จนกว่าจะได้พบกับพระองค์[33](หมายเหตุ 2) บนพื้นฐานของริวายะฮ์นี้ รายงานอีกว่า หลังจากนั้น อบูบักรจึงไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในเวลาต่อมาและขอร้องท่านหญิงให้อภัยและพึงพอใจต่ออุมัรด้วย[34] อย่างไรก็ตาม มีริวายะฮ์ ใน เศาะฮีห์บุคอรี รายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ก็โกรธอะบูบักร เช่นกัน เนื่องจากการยึดสวนฟะดัก และท่านหญิงไม่พึงพอใจต่อเขา ในขณะที่ท่านหญิง ยังมีชีวิตอยู่ และก็ไม่ได้พูดคุยกับเขาอีกเลย[35]

ในตัฟซีรอัยยาชี เขียนว่า เมื่ออะลี (อ.) ถูกนำตัวออกจากบ้าน ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ก็ไปหาอบู บักร และบอกว่า ถ้าเจ้าไม่ปล่อยอะลี ฉันจะไปที่หลุมศพของท่านศาสดาและฟ้องต่อพระเจ้า ด้วยผมที่ยุ่งเหยิงของฉัน อิมามอะลี (อ.) ได้ส่งซัลมานไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เพื่อยับยั้งไม่ให้ท่านหญิงกระทำเช่นนั้น เมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้ยินคำพูดของท่านอะลี ท่านหญิงก็กลับมายังบ้าน (36)

การข่มขู่ที่จะจุดไฟเผาบ้าน

ตามสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลอะฮ์ลิซซุนนะฮ์บางแหล่ง รวมถึง อัลอักดุลฟะรีด [37] ตารีคเฏาะบะรี [38] อันซาบุลอัชรอฟ [39] อัลมุศ็อนนัฟ [40] และอัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ [41] รายงานว่า อุมัร บิน ค็อฏฏอบ ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ตามคำสั่งของอะบูบักร เพื่อที่จะนำตัวท่านอะลี (อ.) และบรรดาสหายของเขาไปให้คำสัตยาบันและเมื่อต้องเผชิญกับความไม่เต็มใจของผู้คนในบ้าน เขาจึงสั่งให้รวบรวมฟืนและขู่ที่จะเผาบ้านพร้อมครอบครัวของท่านหญิง อิบนุอับดุร็อบบิฮ์ นักเขียนและนักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 3 และ 4 ของฮิจเราะฮ์ศักราช เขียนว่า อะบูบักรพูดกับอุมัรว่า หากผู้คนในบ้านปฏิเสธที่จะออกมา ก็จงต่อสู้กับพวกเขา ในขณะที่ อุมัรถือคบเพลิงไว้ในมือ และขู่ว่าจะจุดไฟเผาบ้าน หากคนในบ้านไม่ให้คำสัตยาบัน [42] ตามรายงานของอัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ ระบุว่า เมื่ออุมัรข่มขู่เช่นนั้น พวกเขาบอกว่าฟาฏิมะฮ์อยู่ในบ้านหลังนี้ และอุมัรก็ตอบว่า ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในบ้านก็ตาม (43) ในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ รายงานว่า มีการกล่าวชื่อของบางคนที่ร่วมทางกับอุมัรในการโจมตีครั้งนี้ รวมทั้ง อุซัยด์ บิน ฮุฎ็อยร์ ซะละมะฮ์ บิน ซะลามะฮ์ บิน วักช์ [หมายเหตุ 3] ษาบิต บิน ก็อยส์ บิน ชัมมาส ค็อซเราะญี [44] อับดุรเราะห์มาน บิน เอาว์ฟ มุฮัมมัด บิน มะซัลละมะฮ์ [45] และซัยด์ บิน อัสลัม[46]

ซัยยิดญะอ์ฟัร ชะฮีดี เชื่อว่าคำข่มขู่คุกคามของอุมัรที่จะจุดไฟเผาบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งรายงานไว้ในหนังสือ อันซาบุลอัชรอฟ [47] และ อัลอักดุลฟะรีด [48] จากแหล่งข้อมูลอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ไม่สามารถที่ปลอมแปลงและกุขึ้นโดยกลุ่มสนับสนุนของชีอะฮ์หรือกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนพวกเขา เพราะว่า พวกเขาไม่มีอำนาจในศตวรรษแรกและเป็นชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ รายงานนี้ยังถูกบันทึกไว้ในแหล่งข้อมูลของอิสลามตะวันตก ที่ไม่มีบรรดาชีอะฮ์อยู่ด้วย [49] ชาฮีดี ยังเชื่อว่า ผู้ที่เข้าร่วมอยู่ในซะกีฟะฮ์มีความกังวลเกี่ยวกับการปกครองมากกว่าประเด็นทางศาสนา (50)

การเผาประตูทำให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้รับบาดเจ็บ และแท้งมุฮ์ซิน

ในบางแหล่งข้อมูลดั้งเดิมของชีอะฮ์ รายงานว่า ในเหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นเหตุทำให้ประตูบ้านถูกเผาไหม้ และท่านหญิงได้รับบาดเจ็บ และแท้งทารกในครรภ์ของท่านหญิง มีการกล่าวถึงไว้ในกิตาบซะลีม บิน ก็อยส์ รายงานว่า อุมัร บิน ค็อฏฏอบได้ทำให้การข่มขู่ของเขาเป็นการปฏิบัติและได้จุดไฟเผาประตูบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และเข้าไปในบ้าน และเมื่อเขาเผชิญหน้ากับการต่อต้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เขาก็ตีที่สีข้างของนาง ด้วยฝักดาบของเขา [51] นอกจากนี้ ในหนังสือ อิษบาตุลวะศียะฮ์ ประพันธ์โดยอะลี บิน ฮุเซน มัสอูดี นักประวัติศาสตร์ประจำศตวรรษที่ 4 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช เขียนไว้ว่า พวกเขาบุกรุกเข้าไปในบ้านและจุดไฟเผาประตูบ้าน แล้วพวกเขาก็นำตัวท่านอะลี (อ.) ออกไปโดยการใช้กำลังและท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อยู่ที่ด้านหลังประตู ซึ่งเป็นเหตุทำให้ต้องแท้งมุฮ์ซิน (52) ในรายงานของดะลาอิลุลอิมามะฮ์ เขียนว่า อุมัรได้สั่งให้กุนฟุซ ทุบตีท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (53)

อัยยาชี ผู้รายงานฮะดีษของชีอะฮ์ ในช่วงยุคสมัยแห่งการฆ็อยบะฮ์ กุบรอ ยังกล่าวอีกว่า อุมัรได้เตะไปที่ประตูบ้าน ซึ่งมันทำมาจากกิ่งอินทผลัม ประตูได้พังทลายและเขาเข้าไปในบ้านแล้วเขาจึงนำตัวอะลี (อ.) ซึ่งถูกผูกมัดมือทั้งสองติดกับไหล่ของเขาออกมาจากบ้านหลังนั้น [54]

เวลาที่เกิดเหตุการณ์

มุฮัมมัดฮาดี ยูซุฟี ฆ็อรวี นักวิจัยประวัติศาสตร์อิสลามและชีอะฮ์ เชื่อตามหลักฐานว่า เวลาที่มีการโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ไม่ได้เกิดขึ้นทันที หลังจากเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ และการให้คำสัตยาบันต่ออะบูบักร แต่ทว่าประมาณ 50 วันหรือมากกว่านั้น หลังจากการเสียชีวิตของศาสดา (ศ็อลฯ) [55] หลักฐานประการหนึ่งของเขา คือ บุคคลที่มีชื่อว่า บุร็อยดะฮ์ บิน ฮุซัยบ์ อัสละมี ซึ่งเขาเข้าร่วมกับกองทัพของอุซามะฮ์ไปยังเมืองมูตะฮ์ หลังจากถึงเมืองมะดีนะฮ์ เขาได้รับทราบข่าวเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ เขาพร้อมด้วยกลุ่มชนจำนวนหนึ่งจากชนเผ่าของตน ให้การสนับสนุนอิมามอะลี (อ.) เขาพูดว่า ตราบใดที่อิมามอะลียังไม่ให้คำสัตยาบัน พวกเราก็จะไม่ให้คำสัตยาบัน หลังจากเหตุการณ์นี้ เคาะลีฟะฮ์และเหล่าผู้ติดตามของเขา ได้คิดที่จะเอาคำสัตยาบันจากอิมามอะลี (อ.) ยูซุฟี ฆ็อรวี กล่าวไว้ว่า เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่กองทัพไปและกลับมาและเหตุการณ์ก่อนและหลังจากนั้น เหตุการณ์การโจมตี เกิดขึ้นประมาณ 50 วัน หลังจากการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัด (55)

ผลกระทบที่ตามมา

ผลกระทบที่ตามมาของการโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มีดังนี้

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไม่พึงพอใจต่ออะบูบักรและอุมัร

ในหนังสือของซะลีม บิน ก็อยส์ และ หนังสือ อัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ และดะลาอิลุลอิมามะฮ์ เขียนว่า หลังจากการโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อะบูบักร และอุมัร ต่างพยายามที่จะขออภัยโทษ และทำให้ท่านหญิงรู้สึกพึงพอใจ และพวกเขาทั้งสองจึงไปหาท่านหญิง แต่ท่านหญิงไม่ยอมรับพวกเขา ทำให้ทั้งสองคนได้ขอร้องกับอิมามอะลี (อ.) และได้พบปะกับท่านหญิง ในระหว่างการพบปะครั้งนี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) หันหลังให้กับทั้งสองคน และกล่าวเตือนพวกเขาให้นึกถึงคำกล่าวของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่ว่า ฟาฏิมะฮ์เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของฉัน ใครก็ตามที่ทำร้ายนาง เท่ากับผู้นั้นก็ทำร้ายฉัน แล้วท่านหญิงก็กล่าวว่า ฉัน ขอให้พระเจ้าทรงเป็นพยานว่า พวกคุณทั้งสอง รังแกฉันและทำให้ฉันโกรธ [56] [หมายเหตุ 4]

การแท้งมุห์ซิน และการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

แหล่งข้อมูลดั้งเดิมที่สุดที่รายงานเกี่ยวกับการแท้งมุห์ซิน (อ.) ในเหตุการณ์การโจมตีบ้าน คือ กิตาบซะลีม บิน ก็อยส์ ซึ่งเป็นแหล่งอ้างอิงของศตวรรษที่ 1 ของฮิจเราะฮ์ศักราช และแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ของบรรดาชีอะฮ์ในยุคหลังๆ เช่น อัลอิห์ติญาจ เขียนโดยอะห์มัด บิน อะลี เฏาะบัรซี ฆอยะตุลมะรอม เขียนโดย ซัยยิดฮาชิม บะห์รอนี และ บิฮารุลอันวาร เขียนโดย อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี ได้รายงานข่าวนี้

ความเสียใจของอะบูบักร์

ในบางแหล่งข้อมูลอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ เช่น ตารีคมาดีนะฮ์ดะมิชก์ [58] เขียนโดยอิบนุ อะซากิร อัลมุอ์ญัม [59] เขียนโดย เฏาะบะรอนี และ ตารีคอัลอิสลาม [60] เขียนโดยซะฮะบี บันทึกไว้ว่า อะบูบักรได้รู้สึกเสียใจและเศร้าใจในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต จากการกระทำทั้งสี่ประการ ตัวอย่างเช่น คำพูดของเขาที่ว่า หากมีความเป็นไปได้ เขาจะไม่สั่งให้โจมตีบ้านของฟาฏิมะฮ์ (หมายเหตุ 5)

ทัศนะของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์

รายงานที่เกี่ยวข้องกับคำข่มขู่ของอุมัร บิน ค็อฏฏอบ ที่จะจุดไฟเผาบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในแหล่งข้อมูลอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ เช่น อันซาบุลอัชรอฟ [62] ตารีค เฏาะบะรี [63] อัลอักดุลฟะรีด [64] อัลมุศ็อนนัฟ [65] และอัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์ [66] ] มีการรายงานแล้ว แต่พวกเขาปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการจุดไฟเผาประตูบ้าน และท่านหญิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากแรงกระแทกต่อประตู และการแท้งมุห์ซิน และผู้ที่รายงานเรื่องนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นรอฟีเฎาะฮ์

มุฮัมมัด บิน อับดุลกะริม ชะฮ์ริสตานี นักวิชาการสำนักคิดอัชอะรี (เสียชีวิตในปี 548 ฮ.ศ.) ในการเสนอความคิดเห็นของอบูฮุซัยล์ (ผู้ก่อตั้งสำนักคิดฮุซัยลียะฮ์จากสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์) กล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่า อุมัรได้ทำร้ายท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ในวันที่ให้คำสัตยาบัน แล้วทำให้ทารกในครรภ์ต้องแท้งบุตร ชะฮ์ริสตานี ถือว่า การรายงานนี้ว่าเป็นเรื่องโกหก (67)

คอลีล บิน อิบัก ศ็อฟดี (เสียชีวิต 746 ฮ.ศ. ) เขียนในหนังสือ อัลวาฟี บิลวะฟะยาตในการแนะนำอิบรอฮีม บิน ซัยยาร หรือที่เป็นรู้จักในชื่อ นัซซอม หนึ่งในผู้อาวุโสของมุอ์ตะซิละฮ์ ถือว่า เขาโน้มเอียงไปทางรอฟิเฎาะฮ์ และอ้างจากคำพูดของเขาว่า อุมัรได้ทำร้ายท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และเป็นสาเหตุให้แท้งมุห์ซิน (68)

ผลงานประพันธ์

มีการเขียนหนังสือที่เป็นอิสระเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ดังนี้ อัลฮุญูม อะลา บัยติฟาฏิมะฮ์ อะลัยฮัซซะลาม เขียนโดยมะฮ์ดี อับดุซซะฮ์รอ เป็นภาษษอาหรับ วัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ คือ การนำเสนอภาพที่ชัดเจรของเหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จากแหล่งอ้างอิงของชีอะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ สรุปย่อหนังสือเล่มนี้ โดยชื่อ วิสัยทัศน์สู่หลักฐานและเอกสารเกี่ยวกับการโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จากศตวรรษที่หนึ่ง จนถึงปัจจุบัน แปลและจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต่างๆ [69] ความเป็นจริงของการโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) จากแหล่งอ้างอิงทั่วไป โดย ญะอ์ฟัร ตับรีซี ในภาษาเปอร์เซีย ตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์และการกดขี่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) หลังจากการสิ้นชีวิตของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) หนังสือเล่มนี้ได้พยายามแยกและรายงานเหตุการณ์การโจมตีจากแหล่งอ้างอิงอะฮ์ลิซซุนนะฮ์และการตอบข้อสงสัย(70) หนังสือเล่มนี้ ยังได้รับการแปลเป็นภาษาอาหรับในชื่อว่า อัลฮุญูม อะลา บัยติซซัยยิดะฮ์ ฟาฏิมะตุซซะฮ์รอ มินัลอิอ์ติดาอ์ อิลัลอิอ์ติรอฟ (บิลิซาน มะศอดิร อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ [71]

บทกวี

บรรดานักกวีได้แต่งบทกลอน บทกวีที่เกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ หนึ่งในตัวอย่างของบทกวีดังกล่าว จากมุฮัมมัดฮุเซน ฆ็อรวี อิศฟาฮานี ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า คุมพานี (72)