มุฮัมมัด บิน ฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) หรือที่รู้จักในนาม อิมามมะฮ์ดี (อ.ญ) (ภาษาอาหรับ: الإمام المهدي عجل الله تعالى فرجه) อิมามซะมาน และ ฮุจญะฮ์ บิน อัลฮะซัน (ถือกำเนิดปี ๒๕๕ ฮ.ศ.) เป็นอิมามลำดับที่ ๑๒ และคนสุดท้ายของชีอะฮ์สิบสองอิมาม บรรดาชีอะฮ์เชื่อว่า เขาคือ มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา ซึ่งจะปรากฏตัวหลังจากช่วงเวลาการเร้นกายที่ยาวนาน ช่วงการเป็นอิมามะฮ์ของเขาเริ่มต้นหลังจากการเป็นชะฮีดของบิดาของเขา คือ อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ในปี ๒๖๐ ฮ.ศ. ตามแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ รายงานว่า ระบอบการปกครองราชวงศ์อับบาซียะฮ์ในช่วงการเป็นอิมามะฮ์ของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) พยายามที่จะค้นหาบุตรชายของเขาในฐานะอัลมะฮ์ดี และผู้สืบทอดของบิดา ดังนั้น การการถือกำเนิดของอิมามซะมาน (อ.) จึงถูกเก็บเป็นความลับ และมีเพียงสาวกบางคนของอิมามคนที่ ๑๑ เท่านั้นที่ได้เห็นเขา หลังจากการชะฮีดของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) ชีอะฮ์บางส่วนเกิดความสงสัย และการเกิดกลุ่มต่างๆ ขึ้นในชุมชนของชีอะฮ์ บางกลุ่มหันไปสนับสนุนญะอ์ฟัร อัล-กัซซาบ ลุงของอิมามซะมาน (อ.) ในสถานการณ์เช่นนี้ เตากีอาตของอิมามซะมาน (อ.) ซึ่งถูกเขียนถึงชีอะฮ์และส่งผ่านตัวแทนพิเศษของเขา ช่วยให้บรรดาชีอะฮ์กลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้ง จนกระทั่งในศตวรรษที่ ๔ ฮ.ศ. จากกลุ่มต่างๆ ที่แยกตัวออกจากชีอะฮ์หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามคนที่ ๑๑ มีเพียงชีอะฮ์สิบสองอิมามเท่านั้นที่ยังคงอยู่

อิมามซะมาน (อ.) หลังจากการเป็นชะฮีดของบิดา ได้เข้าสู่ช่วงการเร้นกายระยะสั้น (ฆ็อยบะฮ์ อัศศุฆรอ) และในช่วงเวลานี้ เขาได้ติดต่อกับบรรดาชีอะฮ์โดยผ่านตัวแทนพิเศษทั้ง ๔ คน ตั้งแต่ปี ๓๒๙ ฮ.ศ. การติดต่อกับตัวแทนพิเศษก็สิ้นสุดลง และเริ่มต้นการเร้นกายระยะยาว (ฆ็อยบะฮ์ อัลกุบรอ) นักวิชาการชีอะฮ์ได้อธิบายเหตุผลและรายละเอียดเกี่ยวกับอายุขัยที่ยาวนานของอิมามซะมาน (อ.) และในฮะดีษของบรรดามะอ์ศูมีน (อ.) การเร้นกายของเขาเปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยหมอกเมฆ

บรรดาชีอะฮ์ต่างเชื่อว่า อิมามมะฮ์ดี (อ.) ยังมีชีวิตอยู่ และจะปรากฏตัวในอนาคต พร้อมกับบรรดาผู้ช่วยเหลือเขา เพื่อสถาปนารัฐบาลโลกที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม และจะทำให้โลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมกลับมาสู่ความยุติธรรมอีกครั้ง ในฮะดีษของอิสลาม มีการเน้นย้ำถึงการรอคอยการปลดปล่อย (อินติซอรุลฟะร็อจ) และบรรดาชีอะฮ์เชื่อว่า หมายถึง การรอคอยการปรากฏตัวของอิมามซะมาน (อ.ญ.)

บรรดานักตัฟซีรอัลกุรอานของชีอะฮ์ได้อ้างอิงฮะดีษต่างๆเพื่ออธิบายว่า บางอายะฮ์ในอัลกุรอานหมายถึง อิมามซะมาน (อ.) นอกจากนี้ ยังมีฮะดีษอีกมากมายที่กล่าวถึงชีวิต การเร้นกาย และรัฐบาลของเขา มีรายงานว่า มีหนังสือมากกว่า ๒,๐๐๐ เล่มที่เขียนเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.) ในหลายภาษาและหลายหัวข้อด้วยกัน

อะฮ์ลุสซุนนะฮ์มีความเชื่อในบุคคลที่ชื่อ อัลมะฮ์ดี ในฐานะผู้ปลดปล่อยในยุคสมัยสุดท้าย และถือว่า เขาเป็นลูกหลานของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ขณะเดียวกัน บางส่วนของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์เชื่อว่า เขาจะถือกำเนิดในอนาคต ในขณะที่นักวิชาการบางคนเช่น ซับฏ์ อิบนุ เญาซี และ อิบนุ ฏ็อลฮะฮ์ อัช-ชาฟิอี มีความเชื่อเช่นเดียวกับชีอะฮ์ว่า มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา คือ บุตรของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ที่ถือกำเนิดในปี ๒๕๕ ฮ.ศ.

มีดุอาอ์และบทซิยาเราะฮ์อย่างมากมายที่ถูกกล่าวถึงการเชื่อมความสัมพันธ์กับอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในยุคแห่งการเร้นกาย เช่น ดุอาอ์ฟะร็อจญ์ ดุอาอ์อัลอะฮ์ด ดุอาอ์อัลนุดบะฮ์ บทซิยาเราะฮ์อาลิยาซีน และ นมาซอิมามซะมาน บางฮะดีษรายงานว่า การพบปะกับอิมามซะมาน (อ.) ในยุคแห่งการเร้นกาย ถือว่า มีความเป็นไปได้ และนักวิชาการชีอะฮ์บางคนได้บันทึกเรื่องราวของบุคคลที่ได้พบปะกับเขาอีกด้วย

สถานที่หลายแห่งถูกเชื่อมโยงว่า มีความสัมพันธ์กับอิมามซะมาน (อ.) เช่น ซิรดาบฆ็อยบะฮ์ ในเมืองซามัรรอ มัสญิดอัซซะฮ์ละฮ์ ในเมืองกูฟะฮ์ และ มัสญิดญัมกะรอน ในเมืองกุม

นาม ฉายานาม และสมญานาม

ในฮะดีษต่างๆของชีอะฮ์ มีการกล่าวถึงนามต่าง ๆ สำหรับอิมามคนที่ ๑๒ เช่น มุฮัมมัด อะห์มัด และอับดุลลอฮ์ ขณะเดียวกัน เขามักถูกเรียกว่า อัลมะฮ์ดี ตามฮะดีษต่าง ๆรายงานว่า เขามีชื่อเดียวกันกับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ.) ในบางฮะดีษและแหล่งข้อมูล เช่น อัลกาฟีย์ และ กะมาลุดดีน ชื่อของเขาถูกเขียนแยกเป็นตัวอักษร มีม ฮา มีม ดาล (๓) การเขียนแยกดังกล่าวนี้ เนื่องจากในฮะดีษได้สั่งห้ามการกล่าวถึงนามของเขาโดยตรง (๔)

การสั่งห้ามกล่าวนาม

มีฮะดีษอย่างมากมายในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ที่ห้ามการกล่าวถึงนามของอิมามคนที่ ๑๒ และถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (๕) มีสองทฤษฎีหลักเกี่ยวกับฮะดีษเหล่านี้ : ทฤษฎีแรกมาจากบุคคล เช่น ซัยยิดมุรตะฎอ ฟาฏิลมิกดาด มุฮักกิกฮิลลี อัลลามะฮ์ฮิลลี ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า การสั่งห้ามนี้เกี่ยวข้องกับช่วงยุคสมัยแห่งการตะกียะฮ์ ในทางตรงกันข้าม มีรดามาด และ มุฮัดดิษนูรี ถือว่า การสั่งห้ามนี้ มีผลมาโดยตลอดช่วงยุคก่อนการปรากฏตัว (๖)

มัจญ์ลิซี เอาวัล ได้เขียนในหนังสือ ละวามิอ์ ศอฮิบกิรอนี ในคำอธิบายของ หนังสือ มันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์ ได้อ้างอิงจากเชคบะฮาอีย์ ซึ่งเขาถือว่า การกล่าวนามหลัก (มุฮัมมัด) เป็นสิ่งที่อนุญาต แต่ถือว่า เป็นฮะรอมในช่วงเวลาของการเร้นกายระยะสั้น (เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อิมามจะถูกระบุตัวและศัตรูจะเข้าถึงเขา) และในที่สุด เขาเชื่อว่า เนื่องจากในคำสอนมีการห้ามการกล่าวนามของอิมามอย่างชัดเจนก่อนการปรากฏตัว อาจเป็นไปได้ว่า การสั่งห้ามกล่าวนาม (มีม ฮา มีม ดาล ) ในช่วงเวลาของการเร้นกายระยะยาว ก็มีผลเช่นกัน แต่ในช่วงเวลาของการเร้นกายระยะสั้นนั้น การสั่งห้ามมีความเข้มงวดมากกว่า [๗]

ฉายานามและสมญานาม

อิมามคนที่ ๑๒ ของชีอะฮ์ มีฉายานามและสมญานามอย่างมากมาย มุฮัดดิษ นูรี เขียนในหนังสือ นัจญ์มุษษากิบ ว่า มีฉายานามและสมญานาม ประมาณ ๑๘๒ ชื่อ ด้วยกัน และในหนังสือ นอม นอเมฮ์ ฮัซระเต มะฮ์ดี (อ.ญ.) มีประมาณ ๓๑๐ นามและสมญานามของอิมามมะฮ์ดี บางส่วนของสมญานาม ซึ่งมุฮัดดิษ นูรี ได้กล่าวถึง มีดังนี้ มะฮ์ดี กออิม บากียะตุลลอฮ์ มุนตะกิม เมาอูด ศอฮิบุซซะมาน คอตะมุลเอาศิยาอ์ มุนตะซอร ฮุจญะตุลลอฮ์ อะห์มัด อะบุลกอซิม อบูศอลิห์ คอตะมุลอะอิมมะฮ์ เคาะลีฟะตุลลอฮ์ ศอลิห์ และศอฮิบุลอัมร์ (๘)

นามและฉายาของอิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ ยังถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์อีกด้วย แม้ว่า ในแหล่งข้อมูลเหล่านี้ จะใช้คำว่า อัลมะฮ์ดี เป็นส่วนใหญ่ และสมญานามและคุณลักษณะพิเศษอื่น ๆ จะถูกกล่าวถึงน้อยกว่า และสมญานาม อัลกออิม ก็พบได้น้อยในแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ [๙]

ครอบครัว

บิดาของอิมามซะมาน คือ อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ซึ่งเป็นอิมามลำดับที่สิบเอ็ดของชีอะฮ์อิมามียะฮ์ ที่ดำรงตำแหน่งอิมามะฮ์ หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามฮาดี (อ.) ในปี ๒๕๔ ถึง ๒๖๐ ฮ.ศ. [๑๐] มารดาของอิมามซะมาน (อ.ญ.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น นัรญิส ซูซัน เศาะกีล หรือ ศ็อยก็อล ฮะดีษะฮ์ และ ฮะกีมะฮ์ [๑๑] และมีรายงานสี่ประเภทเกี่ยวกับชีวประวัติและคุณลักษณะของนาง ตามรายงานที่เชคศอดูกได้บันทึกไว้ในหนังสือกะมาลุดดีน [๑๒] นางเป็นเจ้าหญิงแห่งโรมัน และในริวายะฮ์อื่น ๆ โดยไม่กล่าวถึงชีวประวัติของนาง มีเพียงการกล่าวถึงการเลี้ยงดูมารดาของอิมามซะมานในบ้านของท่านหญิงฮะกีมะฮ์ บุตรีของอิมามญะวาด (อ.) [๑๓] ตามรายงานที่มัสอูดีได้บันทึกไว้ในหนังสืออิษบาตุลวะศียะฮ์ [๑๔] มารดาของอิมามมะฮ์ดี นอกจากจะได้รับการเลี้ยงดูในบ้านของป้าของอิมามลำดับที่สิบเอ็ดแล้ว ยังถือกำเนิดในบ้านหลังนั้นด้วย ในรายงานอื่นๆ มารดาของอิมามซะมาน (อ.) ถูกกล่าวถึงว่า เป็นทาสหญิงผิวสี [๑๕] อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี กล่าวว่า รายงานล่าสุดนี้ มีความขัดแย้งกับรายงานอื่นๆ ในเรื่องนี้ เว้นแต่ว่า เราจะหมายความว่า พวกเขากำลังกล่าวถึงมารดาที่เป็นคนกลางหรือผู้ที่เลี้ยงดูของอิมามซะมาน [๑๖]

ตามที่ระบุไว้ในสารานุกรม มะฮ์ดะวียัต มารดาของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) และย่าของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ซึ่งในริวายะฮ์ต่างๆ เรียกว่า ญัดดะฮ์ หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) ภาระหน้าที่ของบรรดาชีอะฮ์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับนาง [๑๗] นอกจากนี้ ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ บุตรีของอิมามญะวาด (อ.) และป้าของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของอิมามทั้งสี่คน และตามแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ รายงานว่า นางเป็นพยานและผู้รายงานการถือกำเนิดของอิมามซะมาน (อ.ญ.) และมารดาของอิมามมะฮ์ดีได้รับการเลี้ยงดูในบ้านของนาง และมีรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับการถือกำเนิดของอิมามซะมานก็ได้ถูกบันทึกโดยนางอีกด้วย [๑๘]

ญะอ์ฟัร บิน อะลี ลุงของอิมามซะมาน (อ.ญ.) หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) ได้อ้างตำแหน่งอิมามะฮ์และด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกเรียกว่า ญะอ์ฟัร อัลกัซซาบ แหล่งรายงานฮะดีษกล่าวถึงเขาว่า เป็นผู้ที่กระทำบาปใหญ่และมีความประพฤติที่ไม่ดี [๑๙] นอกจากเขาจะอ้างตำแหน่งอิมามะฮ์และปฏิเสธการมีทายาทของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) แล้ว เขายังยุยงผู้ปกครองในเวลานั้นให้ทำการต่อต้านอิมามลำดับที่สิบสอง [๒๐] ตามแหล่งข้อมูลบางแห่ง รายงานว่า เขายังคงยืนยันการอ้างตำแหน่งของเขาจนสิ้นชีวิตและถือว่า ตนเองเป็นอิมาม แหล่งข้อมูลอื่นๆ บันทึกว่า เขาเลิกอ้างตำแหน่งและกลับใจ และชีอะฮ์จึงเรียกเขาว่า ญะอ์ฟัร อัตเตาบะฮ์ แทน เขาเสียชีวิตที่เมืองซามัรรอด้วยวัย ๔๕ ปี [๒๑] มุฮ์ซิน อะมีน ผู้เขียนหนังสือ อะอ์ยานุชชีอะฮ์ ก็ได้กล่าวถึงญะอ์ฟัร ด้วยฉายา อัตเตาบะฮ์ โดยไม่ได้ระบุแหล่งที่มา [๒๒] ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ส่วนใหญ่ รายงานว่า อิมามมะฮ์ดี (อ.) ถูกกล่าวถึงว่า เป็นบุตรคนเดียวของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) [23] แม้ว่า ตามคำกล่าวอ้างอื่น ๆ เขามีพี่ชายสองคนและน้องสาวสามคนก็ตาม (๒๔)

การถือกำเนิดของอิมามมะฮ์ดี

เกี่ยวกับปีแห่งการถือกำเนิดของอิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ มีความเห็นที่แตกต่างกัน บางส่วนของแหล่งข้อมูลดั้งเดิมไม่ได้กล่าวถึงปีการถือกำเนิดของเขา และถือว่า ปีการถือกำเนิดนั้นถูกปิดบังไว้ [๒๕] แต่มีริวายะฮ์อย่างมากมายจากชีอะฮ์และบางส่วนจากอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ที่รายงานว่า ปีการถือกำเนิดของอิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ คือ ปี ๒๕๕ ฮ.ศ. [๒๖] หรือปี ๒๕๖ ฮ.ศ. [๒๗] ความคลุมเครือนี้ ยังเกี่ยวกับเดือนการถือกำเนิดด้วย แต่ทัศนะที่ถูกรู้จัก คือ เดือนชะอ์บาน และแหล่งข้อมูลดั้งเดิมหลายแห่งของชีอะฮ์ก็รายงานว่า เดือนนี้ [๒๘] ในขณะเดียวกัน บางแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ได้รายงานเดือนอื่นๆ เช่น เราะมะฎอน [๒๙] เราะบีอุลเอาวัล หรือเราะบีอุษษานี เป็นเดือนการถือกำเนิดของอิมามซะมาน [๓๐]

แหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ มีรายงานที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวันแห่งการถือกำเนิดของอิมามที่สิบสอง ในบรรดารายงานเหล่านั้น วันที่ ๑๕ ชะอ์บาน เป็นรายงานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุด [๓๑] ซึ่งในบรรดานักวิชาการชีอะฮ์ เช่น กุลัยนี [๓๒] มัสอูดี [๓๓] เชคศอดูก [๓๔] เชคมุฟีด [๓๕] เชคฏูซี อะมีนุลอิสลาม เฏาะบัรซี อิบนุฏอวูส อัลลามะฮ์ฮิลลี ชะฮีดเอาวัล และเชคบะฮาอีย์ และในบรรดานักวิชาการอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ เช่น อิบนุคอลิกาน อิบนุศ็อบบาฆ มาลิกีชะอ์รานี ฮะนะฟี และอิบนุ ฏูลูน ได้รายงานในคำกล่าวนี้ [๓๖]

สถานที่การถือกำเนิดและการปิดบัง

บรรดานักประวัติศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันว่า อิมามซะมาน (อ.ญ.) ถือกำเนิดในบ้านของบิดาของเขาคือ อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ในเมืองซามัรรอ [๓๗] ซึ่งปัจจุบัน คือ สถานที่ฝังศพของอิมามฮาดี (อ.) และอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) [๓๘] ตามแหล่งข้อมูลทางระวัติศาสตร์ รายงานว่า อิมามฮาดี (อ.) และอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ถูกเรียกตัวไปยังซามัรรอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบอบเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์หลายปี ก่อนการการถือกำเนิดของอิมามซะมาน (อ.ญ.) [๓๙] และทั้งสองได้พำนักอยู่ที่นั่น จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต [๔๐] มัสอูดี กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้ เกิดขึ้นในปี ๒๓๖ ฮ.ศ. [๔๑] ในขณะที่ นูบัคตีกล่าวว่า เป็นปี ๒๓๓ ฮ.ศ. [๔๒]

เชคมุฟีด กล่าวว่า อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ได้ปิดบังการถือกำเนิดของบุตรชาย เนื่องจากสภาพการณ์ที่ยากลำบากในเวลานั้นและการไล่ล่าอย่างเข้มงวดของเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ และเนื่องจากมัสฮับชีอะฮ์ เป็นที่รู้จักในเรื่องความเชื่อในตัวเขา และเป็นที่รู้กันดีว่า ชีอะฮ์กำลังรอคอยการมาของมะฮ์ดี (อ.ญ.) ดังนั้น เขาจึงต้องปิดบังการถือกำเนิดของบุตรชายและไม่ได้เปิดเผยตัวของเขาระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่อิมามอัลอัสกะรีเสียชีวิต ผู้คนทั่วไปจึงไม่รู้จักเขา [๔๓] ตามรายงานที่เชคฏูซีและเชคมุฟีดได้บันทึกไว้ว่า ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ บุตรีของอิมามญะวาด (อ.) และสาวใช้สองคนของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี เป็นพยานยืนยันการถือกำเนิดของอิมามซะมาน [๔๔] ตามคำกล่าวของเชคมุฟีด ระบุว่า ชีอะฮ์บางคนที่ใกล้ชิดและเป็นที่ไว้วางใจของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ได้เห็นอิมามซะมาน (อ.) ในวัยเด็ก เช่น อุษมาน บิน ซะอีด และบุตรชายของเขา คือ มุฮัมมัด บิน อุษมาน [๔๕]

ริวายะฮ์ต่างๆ รายงานเกี่ยวกับการถือกำเนิดของบุตรชายของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ยังปรากฏในบางผลงานของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ เช่น ประวัติศาสตร์ของอิบนุ อะษีร (เสียชีวิต ๖๓๐ ฮ.ศ.) [๔๖] และ วะฟะยาตุลอะอ์ยาน ของอิบนุ คอลิกาน (เสียชีวิต ๖๘๑ ฮ.ศ.) [๔๗] นอกจากนี้ อิบนุ ฏ็อลฮะฮ์ ชาฟิอี (เสียชีวิต ๖๕๒ ฮ.ศ.) ในหนังสือ มะฏอลิบุซซูอูล [๔๘] และอิบนุ ศ็อบบาฆ มาลิกี (เสียชีวิต ๘๕๕ ฮ.ศ.) ในหนังสือ อัลฟุศูลุลมุฮิมมะฮ์ ได้รายงานเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นผู้ถูกสัญญาของบุตรชายของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) [๔๙]

การเฉลิมฉลองนิศฟูชะอ์บาน

วันที่ ๑๕ เดือนชะอ์บาน ซึ่งตามคำกล่าวที่ถูกรู้จัก คือ วันถือกำเนิดของอิมามซะมาน (อ.ญ.) [๕๐] เป็นหนึ่งในวันอีดที่สำคัญที่สุดของบรรดาชีอะฮ์ พวกเขามีการจัดงานเฉลิมฉลองในคืนและวันดังกล่าว ด้วยการประดับไฟอย่างกว้างขวาง การอ่านบทเมาลูดี การเชือดสัตว์กุรบาน และการแจกจ่ายอาหาร [๕๑] การเฉลิมฉลองเหล่านี้ มีความโดดเด่นในอิหร่านและถูกจัดขึ้นในรูปแบบของ ทศวรรษแห่งมะฮ์ดีวียัต เป็นเวลาหลายวัน [๕๒] และบางส่วนมีการจัดขึ้นในสถานที่ทางศาสนา ชุมชน และตลาด มัสญิดญัมกะรอน ถือเป็นหนึ่งในสถานที่หลักที่จัดงานเฉลิมฉลองมะฮ์ดะวียัต [๕๓] วันที่ ๑๕ เดือนชะอ์บาน ในอิหร่าน เป็นวันหยุดราชการและถูกเรียกว่า วันสำหรับผู้ถูกกดขี่ของโลก [๕๔] ในอิรัก บรรดาชีอะฮ์ นอกจากจะจัดงานเฉลิมฉลองวันที่ ๑๕ ชะอ์บานแล้ว ยังไปเยี่ยมชมหลุมศพของอิมามฮุเซน (อ.) ด้วย บรรดาชีอะฮ์ ในบาห์เรน เยเมน อียิปต์ เลบานอน ซีเรีย อินเดีย อัฟกานิสถาน และปากีสถานก็จัดงานเฉลิมฉลองในวันที่ ๑๕ ชะอ์บาน ด้วยเช่นกัน [๕๕]

อายุขัยของอิมามซะมาน (อ.ญ.)

ตามความเชื่อของบรรดาชีอะฮ์ อิมามซะมาน (อ.ญ.) ถือกำเนิดในปี ๒๕๕ ฮ.ศ. [๕๖] และยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน และจะปรากฏตัวในยุคสุดท้ายพร้อมกับศาสดา อีซา บิน มัรยัม [๕๗] ขณะที่บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ได้ให้คำตอบที่หลากหลายเกี่ยวกับการมีอายุยืนยาว และได้ตรวจสอบถึงความเป็นไปได้ของการมีชีวิตที่ยืนยาว ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์และการปฏิบัติ [๕๘]

เชคศอดูก นักรายงานฮะดีษและนักนิติศาสตร์ชีอะฮ์ ได้จัดสรรบทหนึ่งในหนังสือ กะมาลุดดีน เพื่อกล่าวถึงบุคคลที่มีอายุยืนยาว [๕๙] มัจญ์ลิซีก็ได้จัดสรรบทที่ ๑๙ ของเล่มที่เกี่ยวกับชีวประวัติของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ในหนังสือ บิฮารุลอันวาร ให้กับหัวข้อนี้ [๖๐] นอกจากนี้ ลุฏฟุลลอฮ์ ศอฟี ฆุลพัยฆอนี จากมัรญิอ์ตักลีดชีอะฮ์ ได้อ้างอิงคำพูดของนักชีววิทยาที่เชื่อว่า มนุษย์สามารถมีอายุได้ถึง ๘๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ปีจากมุมมองทางชีววิทยา [๖๑]

ในอัลกุรอานและริวายะฮ์ต่างๆ ก็มีตัวอย่างของการมีอายุยืนยาว เช่น ศาสดามูซา (อ.) ได้เชิญชวนผู้คนสู่ศาสนาของเขา เป็นเวลา ๙๕๐ ปี [๖๒] หรือในริวายะฮ์ที่รายงานจากอิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า หนึ่งในแบบอย่างที่อิมามซะมานได้รับจากบรรดาศาสนทูต คือ อายุขัยที่ยาวนานของอาดัมและนูห์ [๖๓] ไม่มีริวายะฮ์ที่รายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตหรือการเป็นชะฮีดของอิมามซะมาน (อ.ญ.) [๖๔]

สถานที่อยู่อาศัย

สถานที่ถือกำเนิดและการดำเนินชีวิตก่อนการเร้นกาย อิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) อาศัยอยู่ที่เมืองซามัรรอ ซึ่งเป็นสถานที่ถือกำเนิดของเขา ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงการเริ่มต้นของการเร้นกายระยะสั้น ในช่วงเวลานี้ ห้องใต้ดินของบ้านอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) เป็นสถานที่อยู่อาศัยและปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮ์ของเขา และตามรายงานต่าง ๆ ระบุว่า เขาถูกพบเห็นหลายครั้งในสถานที่นี้ ในช่วงที่บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ [๖๕] ญาซิม ฮุเซน เชื่อว่า เขาได้ร่วมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์กับบิดาของท่านในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตของบิดา และหลังจากนั้นได้หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ [๖๖] ทฤษฎีนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ [๖๗]

สถานที่อยู่อาศัยในช่วงการเร้นกาย

บางรายงานกล่าวถึงการไม่ทราบสถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ในช่วงแห่งการเร้นกาย ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานอื่นๆ ได้กล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ เช่น ซีฏูวา [๖๘] ภูเขาร็อฏวา [๖๙] และฏ็อยบะฮ์ (มะดีนะฮ์) [๗๐] ว่ าเป็นสถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ในช่วงแห่งการเร้นกาย บางแหล่งข้อมูลอ้างอิงจากเรื่องเล่าหนึ่ง ระบุว่า หมู่เกาะค็อดรออ์ เป็นสถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน ในช่วงการเร้นกายระยะยาว [๗๑] ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยอย่างมากจากบรรดานักวิชาการชีอะฮ์บางคน และมีผลงานเขียนที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ [๗๒]

สถานที่ปรากฏกาย การลุกขึ้นต่อสู้ การปกครอง และการดำเนินชีวิต (หลังจากการปรากฏกาย)

ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับสถานที่ปรากฏกายของอิมามซะมาน (อ.) ตามริวายะฮ์หนึ่ง รายงานว่า เขาจะปรากฏกายในพื้นที่ซีฏูวา จากนั้น จะเดินทางไปยังเมืองมักกะฮ์พร้อมกับบรรดาสหาย ๓๑๓ คน วางมือบนหินดำ และชูธงชัยของเขาขึ้น [๗๓] ตามริวายะฮ์นี้และริวายะฮ์อื่นๆ [๗๔] รายงานว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามซะมาน (อ.) จะเริ่มต้นที่มัสญิดอัลฮะรอม และบรรดาสหายของเขา จะให้สัตยาบันกับเขาระหว่างรุกนุลฮะญะรุลอัสวัด และมะกอมอิบรอฮีม [๗๕] ในบางรายงาน พื้นที่ตะฮามะฮ์ (พื้นที่ทางตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับ) ถูกกล่าวถึงว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามซะมาน (อ.) [๗๖] มักกะฮ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้ ก็ถูกเรียกว่า ตะฮามะฮ์ ด้วยเช่นกัน

บางริวายะฮ์ รายงานว่า เมืองกูฟะฮ์จะเป็นศูนย์กลางการปกครอง [๗๗] มัสญิดกูฟะฮ์จะเป็นสถานที่การตัดสินคดีความ [๗๘] และมัสญิดอัซซะฮ์ละฮ์ เป็นสถานที่อยู่อาศัย [๗๙] และการแบ่งทรัพย์สินบัยตุลมาล จะเกิดขึ้นหลังจากการลุกขึ้นต่อสู้ [๘๐] สถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับอิมามซะมาน (อ.ญ.)

มัสญิดญัมกะรอน ในเมืองกุม

มีสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิมามซะมาน (อ.ญ.) และมีการกล่าวว่า บรรดาชีอะฮ์ในยุคแห่งการเร้นกายระยะยาว จะไปยังสถานที่เหล่านี้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับเขา :

ห้องใต้ดินการเร้นกาย (ซิรดาบ ฆ็อยบะฮ์ : สถานที่ปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮ์ของอิมามฮาดี (อ.) อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) และอิมามซะมาน (อ.ญ.)

มัสญิดญัมกะรอน : ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านญัมกะรอน ในเมืองกุม ซึ่งตามคำกล่าวที่เป็นที่รู้จัก มัสญิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฮะซัน บิน มิษละฮ์ ญัมกะรอนี ตามคำสั่งของอิมามซะมาน (อ.ญ.)

มัสญิดอัซซะฮ์ละฮ์ : มีสถานที่หนึ่งในมัสญิดนี้ที่เกี่ยวข้องกับอิมามซะมาน (อ.) ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางมัสญิดระหว่างมะกอมของอิมามซัจญาด (อ.) และมะกอมของศาสดายูนุส (อ.) บางริวายะฮ์รายงานว่า สถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน (อ.) หลังการปรากฏกาย คือ สถานที่นี้ [๘๑]

ซีฏูวา : พื้นที่หนึ่งในเมืองมักกะฮ์ ที่อยู่ภายในเขตฮะรอม และตามบางริวายะฮ์ รายงานว่า อิมามมะฮ์ดี (อ.) จะอาศัยอยู่ที่นั่น ในบางริวายะฮ์ ยังรายงานว่า สถานที่ปรากฏกายและศูนย์รวมของบรรดาสหายของเขา คือ พื้นที่นี้ ตามริวายะฮ์หนึ่ง รายงานว่า ก่อนที่อิมามที่สิบสองจะเริ่มการลุกขึ้นต่อสู้จากข้างกะอ์บะฮ์ เขาจะรอบรรดาสหาย ๓๑๓ คนของเขา ที่สถานที่นี้ [๘๒]

ภูเขาร็อฎวา : บางริวายะฮ์ รายงานว่า สถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ในยุคแห่งการเร้นกาย คือ ภูเขาร็อฎวา [๘๓] ร็อฎวา เป็นภูเขาหนึ่งในพื้นที่ตะฮามะฮ์ ระหว่างเมืองมักกะฮ์และเมืองมะดีนะฮ์ [๘๔]

วาดีย์ อัสซะลาม : มีมะกอมของอิมามซะมาน (อ.ญ.) ในสุสานนี้ มีโดมและอาคารที่สร้างขึ้นในปี ๑๓๑๐ ฮ.ศ. โดยซัยยิด มุฮัมมัด ข่าน กษัตริย์แห่งอินเดีย อาคารเดิมได้รับการบูรณะใหม่โดยซัยยิด บะห์รุลอุลูม (เสียชีวิตปี ๑๒๑๒ ฮ.ศ.) [๘๕] ในมิห์รอบของมะกอมอิมามมะฮ์ดี (อ.) มีหินที่มีบทซิยาเราะฮ์ จารึกไว้ ประวัติการแกะสลักหินนี้ คือวันที่ ๙ เดือนชะอ์บาน ๑๒๐๐ ฮ.ศ. [๘๖]

หมู่เกาะค็อฎรออ์ : สถานที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอิมามซะมาน (อ.) ซึ่งตามบางริวายะฮ์ รายงานว่า บุตรของอิมามซะมาน (อ.) อาศัยอยู่ในสถานที่นั่น เรื่องราวของหมู่เกาะนี้ปรากฏในบางแหล่งข้อมูล และมีสองมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนยอมรับมัน ในขณะที่บางคนถือว่า เป็นเรื่องเล่าและได้เขียนผลงานวิจารณ์เกี่ยวกับมัน [๘๗]

ฏ็อยบะฮ์ : สถานที่หนึ่งที่ตามบางริวายะฮ์ รายงานว่า คือสถานที่อยู่อาศัยของอิมามซะมาน (อ.) ในยุคแห่งการเร้นกาย มีการกล่าวว่า หมายถึง เมืองมะดีนะฮ์ [๘๘]

มะกอมอิมามมะฮ์ดีในเมืองกัรบะลาอ์ เป็นสถานที่แสวงบุญที่อยู่ใกล้กับฮะร็อมของอิมามฮุเซน (อ.) และอยู่ริมแม่น้ำอัลกะมะฮ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมามมะฮ์ดี (อ.) และผู้คนจะไปนมาซและดุอาที่นั่น [๘๙]

ยุคแห่งการเป็นอิมามัต

การเป็นอิมามัตของอิมามมะฮ์ดี (อ.) เริ่มต้นขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของบิดาของเขา คือ อิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ในปี ๒๖๐ ฮ.ศ. [๙๐] และจะดำเนินต่อไป จนกระทั่งเขาปรากฏกายในยุคอาคิรุซซะมาน [๙๑]

เหตุผลการพิสูจน์การเป็นอิมามัต

อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี ในบท อับวาบุนนุศูศ มินัลลอฮ์ ตะอาลา วะ มิน อาบาอิฮิ อะลัยฮิ เศาะละวาตุลลอฮ์ อะลัยฮิม อัจญ์มะอีน) ของหนังสือ บิฮารุลอันวาร ได้เขียนถึงฮะดีษ ๑๕๓ บทจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และบรรดาอิมามเพื่อพิสูจน์ถึงการเป็นอิมามัตของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ในจำนวนนี้ อิบนุ อับบาส ได้รายงานจากศาสดา (ศ็อลฯ) ว่า: ตัวแทนและวะศีย์ทั้งหลายของฉัน และข้อพิสูจน์ของอัลลอฮ์ หลังจากฉัน มีสิบสองคน : คนแรกคือน้องชายของฉัน และคนสุดท้ายคือ บุตรของฉัน พวกเขาถามว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ น้องชายของท่านคือใคร? ศาสดาตอบว่า: อะลี บิน อะบีฏอลิบ พวกเขาถามว่า บุตรของท่านคือใคร? ศาสดาตอบว่า: มะฮ์ดี ผู้ที่จะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรม [๙๒]

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างอิงถึงฮะดีษเกี่ยวกับความต่อเนื่องของการเป็นอิมามัต และอายะฮ์ ๒๔ ของซูเราะฮ์ฟาฏิร


เช่น ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า : ฉันคือผู้ตักเตือน และอะลีคือผู้ชี้นำ และทุกอิมามคือผู้ชี้นำสำหรับยุคสมัยของเขา (บิฮารุลอันวาร เล่ม ๓๕ หน้า ๔๐๔ ฮะดีษ ๒๒) และอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า: หากบนโลกนี้ มีเพียงสองคน อิมามจะเป็นหนึ่งในนั้น (อัลกาฟีย์ เล่ม ๑ หน้า ๑๘๐) ฮะดีษอัษษะเกาะลัยน์ [๙๓] ฮะดีษสิบสองเคาะลีฟะฮ์ [๙๔] ฮะดีษการตายในสภาพญาฮิลียะฮ์ และฮะดีษอีก ๓๖ บทที่มีเนื้อหาเดียวกัน [๙๕] ก็ถูกอ้างอิง ด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ของชีอะฮ์ หลังการเป็นชะฮีดของอิมามอัลอัสกะรี (อ.)

หลังจากอิมามที่สิบเอ็ดเสียชีวิต บรรดาชีอะฮ์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับอิมามของพวกเขาในยุคสมัยนั้น และตามรายงานต่างๆ ระบุว่า ชีอะฮ์จำนวนมากในอิรักและเมโสโปเตเมียเกิดความสับสน [๙๖] ตัวอย่างเช่น บรรดาชีอะฮ์ได้ส่งชายคนหนึ่งไปยังมะดีนะฮ์ เพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับการมีอยู่ของบุตรชายของอิมามที่สิบเอ็ด เนื่องจากพวกเขาได้ยินมาว่า บุตรชายของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ถูกส่งไปยังมะดีนะฮ์โดยบิดาของเขา [๙๗] นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า อะห์มัด บิน ซะฮ์ล์ อัลบัลคี นักวิชาการในยุคแห่งการเร้นกายระยะสั้น ได้เดินทางจากคุรอซานไปยังอิรัก เพื่อค้นหาอิมามของเขาและใช้เวลาหลายปีในการค้นหาอิมาม ณ สถานที่นั่น [๙๘]

ภายในบ้านของอิมามอัลอัสกะรี (อ.) ก็เกิดความแตกแยกเป็นสองฝ่าย เนื่องจากฮุดัยษ์ มารดาของอิมามอัลอัสกะรี และท่านหญิงฮะกีมะฮ์ ป้าของเขา สนับสนุนการเป็นอิมามของบุตรชายของอิมามอัลอัสกะรี ในขณะที่เพียงน้องสาวของอิมามอัลอัสกะรีเท่านั้นที่สนับสนุนญะอ์ฟัร อัลกัซซาบ [๙๙ ] วิกฤตการณ์สถาวะผู้นำในช่วงเวลานี้ มีความรุนแรงถึงขนาดที่บรรดาชีอะฮ์อิมามียะฮ์บางส่วนละทิ้งมัสฮับของตนและเข้าร่วมกับสำนักคิดชีอะฮ์อื่นๆและไม่ใช่ชีอะฮ์ [๑๐๐] บางกลุ่มไม่ยอมรับการเสียชีวิตของอิมามอัลอัสกะรีและถือว่า เขาเป็นอัลมะฮ์ดี ในขณะที่บางกลุ่มยอมรับการเป็นอิมามของซัยยิด มุฮัมมัด บุตรชายของอิมามฮาดี (อ.) และปฏิเสธการเป็นอิมามของอิมามอัลอัสกะรี [๑๐๑] และกลุ่มใหญ่หนึ่งกลุ่ม ถือว่า ญะอ์ฟัรเป็นอิมาม [๑๐๒]

เชคมุฟีด หลังจากนำเสนอรายงานจากฮะซัน บิน มูซา อันนูบัคตี ผู้เขียนหนังสือ ฟิเราะกุชชีอะฮ์ เกี่ยวกับกลุ่มต่างๆทั้ง ๑๔ กลุ่มที่เกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) เขากล่าวว่า : จากกลุ่มต่างๆ ที่เราได้กล่าวถึง ไม่มีกลุ่มใดเหลืออยู่ ยกเว้นชีอะฮ์สิบสองอิมามในยุคสมัยของเรา คือ ในปี ๓๗๓ ฮ.ศ. ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ยอมรับการเป็นอิมามของบุตรชายของฮะซัน [อัล-อัสกะรี] ผู้ที่ถูกเรียกด้วยชื่อของศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ศ็อลฯ) และเชื่อมั่นในการมีชีวิตและการคงอยู่ของเขาจนถึงวันที่เขาจะลุกขึ้นต่อสู้ด้วยดาบ [๑๐๓] [หมายเหตุ ๑]

บทบาทของเตากีอาต ในการยืนยันของชีอะฮ์

หลังจากการเสียชีวิตของอิมามฮะซัน อะอัสการี (อ.) และการเริ่มต้นตำแหน่งอิมามัตของอิมามที่สิบสอง มีเตากีอาต จากอิมามซะมาน (อ.ญ.) ที่ออกมา ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับการพิสูจน์การเป็นอิมามัตของเขาเอง การให้เหตุผลที่อิมามซะมาน (อ.ญ) นำเสนอในจดหมายเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ในการเป็นอิมามัตของเขา คือ การเน้นย้ำถึงความต่อเนื่องของแนวทางการชี้นำจากพระเจ้า ตั้งแต่สมัยศาสดาอาดัม (อ.) จนถึงสมัยอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) และการที่โลกจะไม่ว่างเปล่าจากข้อพิสูจน์ของพระเจ้า [๑๐๔] เขายังได้กำหนดเกณฑ์สามประการสำหรับการจำแนกอิมามจากผู้ที่อ้างตนเป็นอิมาม ดังนี้ ความบริสุทธิ์ ความรู้) และการสนับสนุนจากพระเจ้า [๑๐๕]

เตากีอาตของอิมามที่สิบสองในการตอบคำถามของอิบนุ อะบี ฆอนิม อัลก็อซวีนี และกลุ่มชีอะฮ์เกี่ยวกับตัวแทนของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) [๑๐๖] และจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่ส่งถึงมุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม บิน มะฮ์ซิยาร [๑๐๗] ก็เป็นตัวอย่างของกรณีเหล่านี้


การเร้นกายระยะสั้น

เชคมุฟีด (เสียชีวิตปี ๔๑๓ ฮ.ศ.) ในหนังสือ อัลอิรชาด [๑๐๘] และเฏาะบัรซี (เสียชีวิตปี ๕๔๘ ฮ.ศ.) ในหนังสือ อิอ์ลามุลวะรอ [๑๐๙] กล่าวว่า การเร้นกายระยะสั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่ออิมามซะมาน (อ.) ถือกำเนิดในปี ๒๕๕ ฮิจเราะฮ์ศักราช และบนพื้นฐานนี้ ระยะเวลาของการเร้นกายระยะสั้น คือ ๗๔ ปี แต่ทว่า ซัยยิด มุฮัมมัด อัศศ็อดร์ เขียนในหนังสือ ตารีคุลเฆาะบะฮ์ อัศศุฆรอ ได้ระบุว่า การเร้นกายเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ในปี ๒๖๐ ฮิจเราะฮ์ศักราช ซึ่งในกรณีนี้ระยะเวลาของการเร้นกายระยะสั้น จะเป็น ๖๙ ปี [๑๑๐]

อิมามมะฮ์ดี (อ.) ในช่วงการเร้นกายระยะสั้น ได้ติดต่อกับบรรดาชีอะฮ์โดยผ่านตัวแทนพิเศษทั้งสี่คนของเขา ได้แก่ อุษมาน บิน ซะอีด มุฮัมมัด บิน อุษมาน ฮุเซน บิน รูฮ์ อันนูบัคตี และอะลี บิน มุฮัมมัด อัสซะมะรีย์ และจัดการกิจการต่าง ๆ ของพวกเขา นอกเหนือจากประเด็นด้านความเชื่อและนิติศาสตร์แล้ว เรื่องเหล่านี้ ยังรวมถึงประเด็นทางการเงินอีกด้วย [๑๑๑] ในช่วงการเร้นกายระยะสั้น อะห์มัด บิน ฮิลาล อัลกะเราะคี มุฮัมมัด บิน นะศีร อันนุมัยรี และมุฮัมมัด บิน อะลี อัชชัลมะฆอนี ได้อ้างตัวเป็นตัวแทน ซึ่งพวกเขาได้รับการตอบโต้ด้วยเตากีอาต จากอิมามซะมาน (อ.) ที่มีการสาปแช่งและการขับไล่พวกเขา [๑๑๒]

การเร้นกายระยะยาว

ยุคการเร้นกายระยะยาว เริ่มต้นขึ้นในปี ๓๒๙ ฮิจเราะฮ์ศักราช [๑๑๓] ตัวแทนพิเศษคนสุดท้ายของอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในยุคแห่งการเร้นกายระยะสั้น คือ อะลี บิน มุฮัมมัด อัสซะมะรีย์ ซึ่งเสียชีวิตในวันที่ ๑๕ เดือนชะอ์บาน ๓๒๙ ฮิจเราะฮ์ศักราช [๑๑๔] ขณะที่หกวันก่อนการเสียชีวิตของเขา มีเตากีอ์ จากอิมามถึงเขา ซึ่งในนั้นได้ประกาศถึงวันเสียชีวิตของอะลี บิน มุฮัมมัด อัสซะมะรีย์ และได้ห้ามไม่ให้เลือกตัวแทน เนื่องจากตามที่ระบุในเตากีอ์ การเร้นกายครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้นและจะไม่มีการปรากฏกาย จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงอนุญาต [๑๑๕] แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ รายงานว่า ปีที่ตัวแทนคนที่สี่เสียชีวิต คือ ปี ๓๒๙ ฮิจเราะฮ์ศักราช แต่ทว่าเชคศอดูกและฟัฎล์ บิน ฮะซัน เฏาะบัรซีได้บันทึกไว้ว่า เป็นปี ๓๑๘ ฮิจเราะฮ์ศักราช [๑๑๖]

การพบปะกับอิมามซะมาน

มีรายงานอย่างมากมายเกี่ยวกับการพบเห็นอิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ ในช่วงชีวิตของเขา ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ ซึ่งบางส่วนเกิดขึ้นก่อนการเริ่มต้นของการเร้นกายระยะยาว และอีกหลายส่วนเกิดขึ้นหลังจากนั้น :

การพบเห็นก่อนการเร้นกายระยะยาว : ตามรายงานทางประวัติศาสตร์และริวายะฮ์ ในช่วง ๖๙ ปีของการเร้นกายระยะสั้น นอกจากตัวแทนพิเศษทั้งสี่คนแล้ว ยังมีบุคคลจำนวนมากมายที่ได้พบเห็นอิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ เช่น อิบรอฮีม บิน อิดรีส [๑๑๗] อิบรอฮีม บิน อับดุฮ์ นีชาบูรี และคนรับใช้ของเขา [๑๑๘] อะบุลอัดยาน คนรับใช้ของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) [๑๑๙] อะบูซะอีด ฆอนิม อัลฮินดี [๑๒๐] และอะบูอับดิลลาฮ์ บิน ศอลิห์ [๑๒๑] และอีกหลายสิบคน [๑๒๒]

การพบเห็นในการเร้นกายระยะยาว : เกี่ยวกับการพบเห็นอิมามซะมานในยุคการเร้นกายระยะยาว มีสองทัศนะในบรรดาชีอะฮ์: บางคนปฏิเสธการพบเห็น ในขณะที่บางคนนำเสนอหลักฐานและเหตุผลเกี่ยวกับความเป็นไปได้และการเกิดขึ้นของมัน การปฏิเสธในเรื่องนี้บางครั้งอ้างอิงจากฮะดีษที่ระบุว่า การอ้างการพบเห็นใดๆ ในยุคการเร้นกายระยะยาว เป็นเรื่องโกหก [หมายเหตุ ๒]

นอกจากนี้ การปฏิเสธการพบเห็นอิมามมะฮ์ดีในยุคการเร้นกายระยะยาวในบางกรณีเกิดจากความสงสัยในความจริงใจของผู้ที่อ้างว่า พบเห็นอิมามซะมาน นอกจากนี้ บางคนปฏิเสธการพบเห็นใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้แสวงหาผลประโยชน์ใช้โอกาสนี้ [๑๒๓]

ในทางตรงกันข้าม ในบางฮะดีษมีการแนะนำให้ขอดุอาอ์และปฏิบัติบางอย่างเพื่อพบเห็นอิมามซะมาน (อ.ญ.) [๑๒๔] และอย่างน้อยสองฮะดีษที่น่าเชื่อถือ รายงานว่า การเข้าถึงและพบเห็นอิมามเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับผู้ปฏิบัติตามพิเศษของเขา [หมายเหตุ ๓] บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น เชคศอดูก เชคมุฟีด และเชคฏูซีย์ ได้เขียนบทหนึ่งในหนังสือของพวกเขา เพื่อระบุชื่อผู้ที่พบเห็นอิมามที่สิบสองและยืนยันความเป็นไปได้ของมัน [๑๒๕]

การปรากฏตัวและการลุกขึ้นต่อสู้

ตามคำสอนของชีอะฮ์ อิมามมะฮ์ดี (อ.) จะปรากฏตัวขึ้นหลังจากยุคแห่งการเร้นกายที่ยาวนานในยุคสุดท้าย พร้อมกับบรรดาสหายของเขา และจะก่อตั้งรัฐบาลโลกที่นำความยุติธรรมและสันติภาพมาสู่โลก [๑๒๖] ในแหล่งข้อมูลอิสลาม รายงานว่า มีสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกถึงการปรากฏตัวของอิมามซะมาน เช่น การปรากฏตัวของซุฟยานี เสียงร้องจากฟากฟ้า และการสังหารนัฟซ์ ซักกียะฮ์ [๑๒๗]

ตามริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์ รายงานว่า โลกก่อนการปรากฏตัวจะมีลักษณะสำคัญทั้งสามประการ: ความอยุติธรรมและการกดขี่ที่แพร่หลาย และความวุ่นวายที่เข้าสู่ในทุกบ้าน [๑๒๘] การมีอยู่ของเหล่าศัตรู เช่น ซุฟยานี นะวาศิบ และคนอื่น ๆ ที่เคลื่อนไหวในการต่อต้านชีอะฮ์ในอิรักและดินแดนอิสลามอื่น ๆ และจากนั้น ก็ยึดครองซีเรีย [๑๒๙] และในที่สุด คือ บรรดาสหายของอิมามซะมานที่ได้แพร่กระจายนามและเรื่องราวของอิมามที่สิบสองในดินแดนอิสลาม [๑๓๐]

ตามริวายะฮ์ต่างๆ รายงานว่า อิมามมะฮ์ดี (อ.) จะเริ่มการลุกขึ้นต่อสู้จากมัสญิดอัลฮะรอมในเมืองมักกะฮ์ และจะเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮ์พร้อมกับบรรดาสหายของท่าน และจะเลือกเมืองนี้ เป็นศูนย์กลางการปกครองของเขา [๑๓๑]

การรอคอยการปรากฏตัวของอิมามซะมาน เป็นหนึ่งในคำสอนหลักของวัฒนธรรมชีอะฮ์ ซึ่งเรียกว่า อินติซอรุลฟะร็อจญ์ และหมายถึง ความหวังในการคลี่คลายความยากลำบากและบรรลุอนาคตที่สดใสด้วยการปรากฏตัวของอิมามซะมาน แนวคิดนี้ ถูกกล่าวถึงในริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์ด้วยคำกล่าวต่าง ๆ เช่น ผู้รอคอยกิจการของเรา ผู้รอคอยกิจการนี้ การรอคอยผู้นำของเรา การคาดหวังการบรรเทาทุกข์ "ผู้รอคอยการปรากฏตัวของเขา ผู้รอคอยรัฐบาลแห่งความจริง และ ผู้รอคอยอิมามที่สิบสอง [๑๓๒] ริวายะฮ์เหล่านี้ได้กล่าวถึงผลรางวัลและความประเสริฐอย่างมากมายสำหรับผู้ที่รอคอย และถือว่า พวกเขาเป็นผู้ใกล้ชิดอัลลอฮ์ ผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของพระองค์ จนเลือดของตนเองไหลนอง และเป็นผู้คนที่ดีที่สุดที่เหมือนกับบรรดาสหายของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในสงครามบะดัร หรือผู้ที่ต่อสู้ในกระโจมของอิมามซะมาน (อ.) ร่วมกับเขา [๑๓๓]

ดุอาอ์และบทซิยาเราะฮ์

มีดุอาอ์และบทซิยาเราะฮ์หลายบท ที่ออกมาจากอิมามซะมาน (อ.) เช่น ดุอาอ์ฟะร็อจญ์ (اَللّهُمَّ عَظُمَ البَلاء) ดุอาอ์ ยา มัน อัซฮะร็อลญะมีล ดุอาอ์ อัลลอฮุมมะ ร็อบบันนูริลอะซีม ดุอาอ์"อัลลอฮุมมัรซุกนา เตาฟีก็อฏฏออะฮ์ ดุอาอ์ซะฮ์มุลลัยล์ ดุอาอ์ประจำวันของเดือนเราะญับ ดุอาอ์ อัลลอฮุมมะ อินนี อัสอะลุกะ บิลเมาลูดัยนี ฟีย์ เราะญับ ดุอาอ์ อัลลอฮุมมะ อินนี อัสอะลุกา บิมาอานี ญะมีอิมา ยัดอูกะ บิฮี วุลาตุ อัมริก บทซิยาเราะฮ์ นะฮียะฮ์ มุกัดดะซะฮ์ และบทซิยาเราะฮ์อัชชุฮะดาอ์ [๑๓๔] สำหรับการเชื่อมความสัมพันธ์กับอิมามซะมาน นอกจากบทซิยาเราะฮ์ญามิอะฮ์ที่สามารถใช้ซิยาเราะฮ์อิมามทุกคนได้แล้ว ยังมีดุอาอ์และบทซิยาเราะฮ์ต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวถึงในริวายะฮ์ของชีอะฮ์ ดังนี้ :

ดุอาอ์อันนุดบะฮ์

ดุอาอ์เพื่อความปลอดภัยของอิมามมะฮ์ดี (อ.)

บทการวิงวอนต่ออิมามซะมาน (อ.ญ (ซะลามุลลอฮ์ อัลกามิล อัตตาม...) จากซัยยิด อะลี ข่าน ในหนังสือกะลิม ฏ็อยยิบ [๑๓๕]

บทซิยาเราะฮ์อาลิยาซีน

ดุอาอ์อัลเฆาะรีก

ดุอาอ์อัลอะฮ์ด์

ดุอาอ์ฟะร็อจญ์

ดุอาอ์ อัลลอฮุมมะ อัรริฟนี นัฟซัก (ดุอาอ์ในการเร้นกายของอิมามซะมาน) [๑๓๖]

ดุอาอ์ อัลลอฮุมมัดฟะอ์ อัน วะลียิก (ดุอาอ์สำหรับอิมามอัศร์) จากอิมามริฎอ (อ.) [๑๓๗]

เศาะลาวาตพิเศษสำหรับอิมามซะมาน (อ.) (อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิ อะลา วะลียิกะ วับนิ เอาลิยาอิกัลละซีนะ ฟะร็อฎตะ ฏออะตะฮุม วะเอาญับตะ ฮักกะฮุม วะอัซฮับตะ อันฮุมุรริจญ์ส์ วะเฏาะฮ์ฮัรตะฮุม ตัฏฮีรอ...) เศาะลาวาตนี้ ปรากฏในหนังสือมะฟาตีฮุลญินาน ภายใต้หัวข้อ มะกอมที่สามของเศาะลาวาตสำหรับข้อพิสูจน์ที่บริสุทธิ์ [๑๓๘]

บทซิยาเราะฮ์วันศุกร์ (อัสซะลามุ อะลัยกะ ยา ฮุจญะตัลลอฮ์ ฟี อัรฎิฮ์ อัสซะลามุ อะลัยกา ยา อัยนัลลอฮ์ ฟีย์ คอลกิฮ์ อัสซะลามุ...) จากซัยยิด อิบนุ ฏอวูส ในหนังสือ ญะมาลุลอุสบูอ์ [๑๓๙]

ทัศนะของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์

ในแหล่งข้อมูลฮะดีษของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ มีฮะดีษอย่างมากมายเกี่ยวกับอัลมะฮ์ดีและผู้ปลดปล่อยในยุคสุดท้าย [๑๔๐] ซึ่งนักรายงานฮะดีษบางคนของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ เช่น อาบรี ชาฟิอี อับดุลฮักก์ เดฮ์ละวี ซะฟารีนี และชูกานี ได้ยืนยันว่า ฮะดีษเหล่านี้เป็นฮะดีษมุตะวาติร [๑๔๑] อะฮ์ลุสซุนนะฮ์เชื่อในการมีอยู่ของ อัลมะฮ์ดี บนพื้นฐานของฮะดีษเหล่านี้ [๑๔๒] แต่ในขณะเดียวกัน ทัศนะของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์หลายคนในเรื่องนี้ มีความแตกต่างจากทัศนะของชีอะฮ์ เช่น บิดาของ อัลมะฮ์ดี จากทัศนะของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์มีชื่อเหมือนบิดาของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) คือ อับดุลลอฮ์ ในขณะที่ชีอะฮ์ถือว่า เขาเป็นบุตรของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) นอกจากนี้ ในทัศนะที่ถูกรู้จักของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ อัลมะฮ์ดีจะถือกำเนิดในยุคสุดท้าย ชาวอะฮ์ลุสซุนนะฮ์บางกลุ่มถือว่า อัลมะฮ์ดีเป็นลูกหลานของอิมามฮะซัน (อ.) ในขณะที่ตามความเชื่อของชีอะฮ์ เขาเป็นลูกหลานของอิมามฮุเซน (อ.) [๑๔๓]

แต่อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อที่เหมือนกันระหว่างอะฮ์ลุสซุนนะฮ์และชีอะฮ์เกี่ยวกับผู้ปลดปล่อยในยุคสุดท้าย เช่น เขาเป็นลูกหลานและมีนามเหมือนศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และมีฉายาว่า อัลมะฮ์ดี เขาจะลุกขึ้นต่อสู้ในยุคสมัยสุดท้ายอย่างแน่นอน ซึ่งจะได้รับชัยชนะเหนือผู้กดขี่ทั้งหมดและนำความยุติธรรมมาสู่โลก และศาสดาอีซา (อ.) จะกลับมายังโลกพร้อมกับเขา [๑๔๔]

ในทางตรงกันข้าม นักวิชาการบางคนของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ถือว่า มะฮ์ดีที่ถูกสัญญาไว้ในอิสลาม คือ อิมามที่สิบสองของชีอะฮ์ ซิบฏ์ อิบนุ เญาซี นักวิชาการในศตวรรษที่ ๗ ฮ.ศ. ในหนังสือ ตัซกิเราะตุลเคาะวาศ หลังจากแนะนำบุตรชายของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) เขากล่าวว่า: และเขาคือ เคาะลีฟะฮ์ ฮุจญะฮ์ เจ้าแห่งยุคสมัย ผู้ลุกขึ้นต่อสู้ และผู้ที่ถูกรอคอย เขาคือ ผู้ที่ (ชาวมุสลิม) รอคอยการมาของเขา [๑๔๕] อิบนุ ฏ็อลฮะฮ์ ชาฟิอี นักวิชาการในศตวรรษที่ ๗ ฮ.ศ. ในหนังสือ มะฏอลิบุซซุอูล ก็ถือว่า อัลมะฮ์ดีที่ถูกรอคอย คือบุตรชายของอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) และได้รายงานฮะดีษเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเขาในยุคสมัยสุดท้าย [๑๔๖]

ลักษณะพิเศษทางกายภาพและทางจริยธรรม

ในหนังสือฮะดีษของชีอะฮ์ มีข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางจริยธรรมและลักษณะทางกายภาพของอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.)

ลักษณะพิเศษทางกายภาพ

ในบางรายงาน ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้อธิบายอิมามมะฮ์ดีว่า เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษทางกายภาพคล้ายเขามากที่สุด [๑๔๗] และคำอธิบายดังกล่าวยังมีอยู่ในฮะดีษจากอิมามฮะซัน อัลอัสกะรี (อ.) ด้วย [๑๔๘] ในริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮ์ดีจะมีอายุระหว่าง ๓๐ ถึง ๔๐ ปี เมื่อเขาลุกขึ้นต่อสู้ [๑๔๙] อิมามศอดิก (อ.) ได้อธิบายว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสมส่วนและมีความสมบูรณ์ ซึ่งตามความเชื่อของอัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี หมายความว่า อิมามมะฮ์ดีอยู่ในช่วงกลางหรือปลายวัยหนุ่ม [๑๕๐]

ตามริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามบากิร (อ.) ว่า ในวันหนึ่ง ขณะที่อิมามอะลี (อ.) อยู่บนมิมบัร กล่าวว่า ในยุคสมัยสุดท้ายจะมีบุรุษคนหนึ่งจากลูกหลานของเขาปรากฏตัวขึ้น ซึ่งมีใบหน้าขาวอมแดง หน้าอกกว้าง... และไหล่ที่แข็งแรง และมีไฝสองจุดบนหลังของเขา จุดหนึ่งมีสีเหมือนผิวหนังของเขาและอีกจุดหนึ่งคล้ายกับไฝของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๑๕๑]

ลักษณะพิเศษทางจริยธรรมและศาสนา และวิถีการปกครอง

ตามบางริวายะฮ์ รายงานว่า อิมามมะฮ์ดีถูกอธิบายว่า เป็นบุคคลที่มีลักษณะทางจริยธรรมคล้ายศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) มากที่สุด และด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ที่กล่าวถึงศาสดา (ศ็อลฯ) ในอายะฮ์ต่างๆและฮะดีษทั้งหลาย เราสามารถอธิบายถึงลักษณะพิเศษทางจริยธรรมและศาสนาของอิมามมะฮ์ดีได้ [๑๕๒] ริวายะฮ์อีกกลุ่มหนึ่งได้อธิบายลักษณะพิเศษทางจริยธรรมของอิมามมะฮ์ดีอย่างเป็นอิสระ ตัวอย่างเช่น รายงานจากอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า เขามีความเหมาะสมกับผู้คนมากกว่าตัวพวกเขาเอง และมีความเมตตาต่อพวกเขามากกว่าพ่อแม่ของพวกเขา นอกจากนี้ เขายังนอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮ์มากกว่าคนอื่นๆ และมีพยายามอย่างหนักในการปฏิบัติตามสิ่งที่เขาได้รับคำสั่งและมีความอดทนต่อสิ่งที่เขาถูกต้องห้าม [๑๕๓]

ตามริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามฮุเซน (อ.)ว่า อิมามมะฮ์ดีสามารถรับรู้ได้จากความสงบนิ่งและความมีเกียรติของเขา รวมถึงความรู้ของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับอนุญาตและสิ่งที่ถูกห้าม และความต้องการของผู้คนที่มีต่อเขาและความไม่ต้องการของเขาที่มีต่อผู้คน [๑๕๔] ในรายงานหนึ่งจากอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮ์ดีเป็นบุคคลที่มีความเคร่งครัดสูงสุด เขาสวมเสื้อผ้าหยาบและกินขนมปัง ข้าวบาร์เลย์ [๑๕๕] เขาเข้มงวดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้คน และมีความเมตตาต่อผู้ยากไร้ [๑๕๖] ในริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามศอดิก (อ.) กล่าวเกี่ยวกับวิถีการปกครองของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ว่า: เมื่อกออิมของเราจากอะฮ์ลุลบัยต์ได้ลุกขึ้นต่อสู้ เขาจะสวมเสื้อผ้าแบบอะลีและปฏิบัติตามวิถีการของอะมีรุลมุอ์มินีนอะลี [๑๕๗]

หนังสืออ้างอิง

มีผลงานต่างๆมากมายเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ ที่ถูกจัดพิมพ์ในภาษาต่าง ๆ และในหนังสือ ดัร ญุสตุญูเย กออิม (อ.ญ.) ประพันธ์โดยซัยยิดมะญีด พูรฏอบาฏอบาอีย์ ได้แนะนำหนังสือ จุลสารบทความ และรวมบทกวีและวรรณกรรมเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีจำนวน ๑,๘๕๑ ชิ้น [๑๕๘] ในหนังสือ กิทอบนอเมฮ์ ฮัซระเตมะฮ์ดี (อ.ญ.) ประพันธ์โดย อะลีอักบาร มะฮ์ดีพูร ก็ได้แนะนำหนังสือมากกว่า ๒,๐๐๐ เล่มในภาษาต่าง ๆ เช่น อาหรับ เปอร์เซีย ตุรกี ไทย ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย [๑๕๙] หนังสือสำคัญบางเล่มในเรื่องนี้ มีดังนี้ :

อัลบะยาน ฟีย์ อัคบาร ศอฮิบุซซะมาน ประพันธ์โดย มุฮัมมัดยูซุฟ ฆันญี ชาฟิอี (เสียชีวิต ๖๕๘ ฮ.ศ.) นักวิชาการชีอะฮ์ในศตวรรษที่ ๗ ฮิจเราะฮ์ศักราช ประกอบด้วย ๒๕ บทและบนพื้นฐานจากแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์

กิฟายะตุลมุฮ์ตะดี ฟีย์ มะอ์ริฟะติลมะฮ์ดี หนังสือภาษาเปอร์เซีย เขียนโดยซัยยิดมุฮัมมัด มูซาวี ซับเซวารี นักวิชาการชีอะฮ์ในศตวรรษที่ ๑๑ ฮิจเราะฮ์ศักราช

นัจญ์ ษากิบ หนังสือภาษาเปอร์เซีย เขียนโดย มีรซาฮุเซน นูรี (๑๒๕๔-๑๓๒๐ ฮ.ศ.) นักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ในศตวรรษที่ ๑๔ ฮิจเราะฮ์ศักราช ซึ่งเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติส่วนตัว การพิสูจน์การมีอยู่ของอิมามที่สิบสอง เรื่องราวของผู้ที่พบเห็นเขา และหน้าที่ของชีอะฮ์ในยุคแห่งการเร้นกาย

มุนตะเคาะบุลอะษัร ฟีลอิมามิษษานี อะชัร (อ.ญ.) หนังสือที่รวบรวมฮะดีษที่เกี่ยวข้องกับอิมามมะฮ์ดีในภาษาอาหรับ ประพันธ์โดย ลุฏฟุลลอฮ์ ศอฟี ฆุลพัยฆอนี (๑๒๙๗-๑๔๐๐ ปฏิทินอิหร่าน )

เมาซูอะตุลอิมามิลมะฮ์ดี ชุดหนังสือสี่เล่ม ประพันธ์โดยซัยยิดมุฮัมมัด อัศศ็อดร์ นักวิชาการชีอะฮ์ชาวอิรัก

สารานุกรมอิมามมะฮ์ดี บนพื้นฐานจากอัลกุรอาน ฮะดีษ และประวัติศาสตร์ ชุดหนังสือสิบเล่ม ประพันธ์โดย มุฮัมมัด มุฮัมมะดีย์ เรย์ ชะฮ์รี ร่วมกับกลุ่มคณะนักเขียน


เชิงอรรถ

บรรณานุกรม