ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)

จาก wikishia

ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) มีนามว่า ฟาฎิมะฮ์ บุตรีของอิมามกาซิม (อ.) และเป็นน้องสาวของอิมามริฎอ (อ.) นางเป็นบุตรีที่ประเสริฐที่สุดของอิมามกาซิม (อ.) และกล่าวกันว่า ในหมู่บุตรทั้งหลายของอิมามกาซิม (อ.) หลังจากอิมามริฎอแล้ว ไม่มีบุตรคนใดที่มีฐานภาพสูงส่ง เหมือนดังท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)

ในแหล่งข้อมูลจำนวนมากทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับวันที่ถือกำเนิดและวันวะฟาตของท่านหญิง และประเด็นที่เกี่ยวกับการแต่งงานก็ไม่มีข้อมูลมากนัก แต่สิ่งที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ยังไม่ได้แต่งงาน

มะอ์ศูมะฮ์ และกะรีมะตุอะลุลบัยต์ ล้วนเป็นสมญานามที่เป็นที่รู้จักของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บุตรีของอิมามกาซิม ดังในรายงานฮะดีษจากอิมามริฎอ(อ.)ได้กล่าวชื่อท่านหญิงว่า มะอ์ศูมะฮ์

ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังอิหร่าน ในปี 201 ฮ.ศ. ตามคำร้องขอของอิมามริฏอ (อ.) ‎พี่ชายของนาง และเพื่อไปเยี่ยมเยียนเขา แต่ทว่า ในระหว่างทาง ท่านหญิงได้ล้มป่วย และท่านหญิงไปยังเมืองกุมตามคำร้องขอของชาวกุม และได้พำนักอยู่ในบ้านของชายคนหนึ่งชื่อว่า มูซา บิน ค็อซร็อจ อัชอะรี และท่านหญิงเสียชีวิต หลังจากนั้น 17 วัน แล้ว ร่างของท่านหญิงถูกฝังอยู่ในสุสานชื่อ บาบิลัน (ในปัจจุบันคือ ฮะรอมของท่านหญิง) ซัยยิด ญะอ์ฟัร มุรตะฎอ ‎อามิลี (เสียชีวิต: 1441 ฮ.ศ.) เชื่อว่า ท่านหญิงมะฮ์ศูมะฮ์(ซ.) ถูกวางยาพิษและเป็นชะฮีดในเมืองซาเวห์

ชาวชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) นั้น มีความสูงส่ง และมีความสำคัญในการเดินทางเพื่อทำการซิยาเราะฮ์ท่านหญิง ‎นอกจากนี้ ยังมีริวายะฮ์เกี่ยวกับท่านหญิง รายงานว่า ท่านหญิงจะให้ชะฟาอะฮ์สำหรับชาวชีอะฮ์ และสวรรค์ ถือเป็นรางวัลของการซิยาเราะฮ์ท่านหญิง กล่าวกันว่า หลังจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้มีรายงานว่า มีบทซิยาเราะฮ์โดยเฉพาะ

ข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์

ซะบีฮุลลอฮ์ มะฮัลลาตี กล่าวไว้ในหนังสือริยาฮีนุชชะรีอะฮ์ ว่า ไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) รวมถึงวันเดือนปีเกิด และการเสียชีวิตของนาง อายุขัยของนาง เวลาไหนที่นางเดินทางออกจากมะดีนะฮ์ และนางเสียชีวิตก่อนการเป็นชะฮีดของอิมามริฎอ (อ.) หรือหลังจากนั้น ก็ยังไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์[1]‎

เชื้อสาย

ฟาฏิมะฮ์ เป็นบุตรีของอิมามกาซิม (อ.) และเป็นน้องสาวของอิมามริฎอ (อ.) มีฉายานามว่า มะอ์ศูมะฮ์ เชคมุฟีดเขียนในหนังสือ อัลอิรชาดของเขา ว่า อิมามกาซิม มีบุตรีทั้งหมด 2 คน กล่าวคือ ฟาฏิมะฮ์กุบรอ ‎และฟาฏิมะฮ์ศุฆรอ โดยที่ไม่มีการระบุว่า ผู้ใดคือ ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ [2] อิบนุเญาซี นักวิชาการชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในศตวรรษที่ 6 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช กล่าวว่า มีบุตรีของอิมามกาซิมที่มีชื่อว่า ฟาฏิมะฮ์ ในบรรดาบุตรีทั้งสี่คนของอิมามกาซิม (อ.) แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวถึงว่า ใครคือท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ [3] มุฮัมมัด บินญะรีร ผู้เขียนหนังสือ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์ เขียนว่า ‎มารดาของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ ท่านหญิงนัจญ์มะฮ์ คอตูน ซึ่งเป็นมารดาของอิมามริฏอ (อ.) ด้วยเช่นกัน‏. [4]‏

วันเดือนปีเกิดและวันที่เสียชีวิต

ในแหล่งอ้างอิงเดิมของชีอะฮ์ ไม่ได้กล่าวถึงวันเดือนปีเกิดและการเสียชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ . ‎ริฎอ อุสตาดี นักวิชาการชีอะฮ์ กล่าวว่า หนังสือเล่มแรกที่กล่าวถึงวันเดือนปีเกิด คือ นูร อัล-อาฟาก เขียนโดยญะวาด ‎ชาห์อับดุลอะซีมี [5] ซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ในปี 1344 ฮ.ศ. [6] ในหนังสือเล่มนี้ เขียนว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ‎ถือกำเนิด ในวันที่ 1 ซุลเกาะอ์ดะฮ์ ปี 173 ฮ.ศ. และวันเสียชีวิตของนาง คือ ในวันที่ 10 รอบีอุษษานี ในปี 201 ฮ.ศ. ‎และจากหนังสือเล่มนั้น ก็ได้มีการค้นพบในหนังสือเล่มอื่นๆ [7]แต่ทว่า นักวิชาการบางคน เช่น อยาตุลลอฮ์ มัรอะชี นะญะฟี [8] อยาตุลลอฮ์ ชุบัยรี ซันญานี [9] ริฎอ อุสตาดี [10] และซะบีฮุลลอฮ์ มะฮัลลาตี [11] ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ของชาห์ อับดุลอะซีมี และถือว่า วันที่ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นของปลอม

ในปฏิทินอย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันแรกของเดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ได้รับการตั้งชื่อให้เป็นวันเด็กผู้หญิง[12]‎

ฉายานาม

มะอ์ศูมะฮ์ และกะรีมะฮ์ เป็นฉายานามที่เป็นที่รู้จักของฟาฏิมะฮ์ บุตรีอิมามกาซิม [13] พวกเขากล่าวว่า มะอ์ศูมะฮ์ ‎ถูกนำมาจากริวายะฮ์ของอิมามริฎอ (อ.) [14] ในริวายะฮ์นี้ ซึ่งได้รายงานในหนังสือ ซาดุลมะอาด เขียนโดย มุฮัมมัดบากิร มัจญ์ลิซี กล่าวว่า อิมามริฎอเรียกนางว่า มะอ์ศูมะฮ์ [15] ‎

ปัจจุบันนี้ เรียก ฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ว่า กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ [16] กล่าวได้ว่า ฉายานามนี้ เกิดขึ้นจากความฝันของซัยยิดมะฮ์มูด มัรอะชีย์ นะญะฟี บิดาของอยาตุลลอฮ์มัรอะชีย์ และในความฝันนั้น หนึ่งในบรรดาอิมาม ผู้บริสุทธิ์ ‎‎(อ.) เรียกท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ว่า กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ (17)‎

การแต่งงาน

ในหนังสือริยาฮีนุชชะรีอะฮ์ เขียนว่า ไม่ทราบว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ได้แต่งงานแล้วหรือไม่ และนางมีบุตรหรือไม่ [18] แน่นอนว่า เป็นที่รู้กันว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ไม่เคยแต่งงานมาก่อน [19] และมีเหตุผลที่บอกว่า นางไม่ได้แต่งงาน อาทิเช่น เนื่องจากไม่สามารถหาคู่ครองที่เหมาะสมกับนางได้ (20) นอกจากนี้ ยะอ์กูบี นักรายงานประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 3 ของฮิจเราะฮ์ศักราช เขียนว่า: อิมามกาซิม (อ.) ได้สั่งเสียว่า ไม่มีบุตรีคนใดของเขาที่จะแต่งงานเลย [21] แต่คำพูดนี้ ไม่ปรากฏในคำสั่งเสียของอิมาม ที่กุลัยนีรายงานในหนังสืออัลกาฟีย์จากอิมามกาซิมเลย [22] นักวิจัยบางคนเชื่อว่า เหตุผลที่ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และบรรดาน้องสาวของนางไม่ได้แต่งงาน เนื่องสถานการณ์บีบบังคับของการปกครองของบะนีอับบาซียะฮ์ โดยเฉพาะในยุคสมัยของฮารูนและมะอ์มูน อับบาซี‎[24]‎

การเดินทางมายังอิหร่าน การเข้าสู่เมืองกุม และการเสียชีวิต

ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองกุม เขียนไว้ว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)ได้เดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ ไปยังอิหร่าน ในปี 201 ฮ.ศ. เพื่อการเยี่ยมเยียนอิมามริฎอ (อ.) ผู้เป็นพี่ชายของนาง (25) ตามการรายงานของบากิร ชะรีฟ กุรอชี นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ จากหนังสือ เญาฮะเราะตุลกะลาม ฟีย์ มัดฮิซซะดาติลอะอ์ลาม ระบุว่า ‎เหตุผลของการเดินทางไปยังอิหร่านของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) คือ จดหมายที่อิมามริฎอ ได้ส่งถึงนาง โดยเขาได้ขอให้นางไปหาเขาที่โครอซาน [26] อิมามริฎอ (อ.) ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารแห่งมะอ์มูน เคาะลีฟะฮ์อับบาซี และอาศัยอยู่ในโครอซาน ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ในระหว่างทาง เกิดล้มป่วยแล้วเสียชีวิต [27] ซัยยิดญะอ์ฟัร มุรตะฎอ อามิลี กล่าวว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ถูกลอบวางยาพิษและเป็นชะฮีดพลีชีพในเมืองซาเวห์ [28]‎

ในกรณีการเดินทางไปยังเมืองกุม มีสองรายงาน ตามรายงานแรก ระบุว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) เกิดล้มป่วยในเมืองซาเวห์และขอร้องให้ผู้ที่ร่วมเดินทางนำนางไปยังเมืงอกุมมี (29) ตามรายงานที่สอง ระบุว่า ผู้เขียนประวัติศาสตร์ของเมืองกุม ถือว่า สิ่งนั้นมีความถูกต้องมากกว่า และชาวกุมเองเป็นผู้ขอร้องให้ท่านหญิงมายังเมืองกุม (30)‎

ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) อาศัยอยู่ในเมืองกุม ที่บ้านส่วนตัวของชายที่มีชื่อ มูซา บิน ค็อซร็อจญ์ อัชอะรีย์ และเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านไป 17 วัน [31] ร่างของนางถูกฝังอยู่ในสุสานชื่อ บาบิลาน (ซึ่งในปัจจุบัน คือ ฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์) (32) อาลิซะอ์ด์ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในกรณีการฝังศพของนาง จนในที่สุด พวกเขาตัดสินใจว่า กอดิร คนรับใช้ ซึ่งเขาเป็นชายชราผู้ทรงคุณธรรม เป็นกระทำพิธีการฝังศพ แต่ทันใดนั้นเองมีชายสองคนสวมหน้ากากควบม้ามาทางทะเลทรายได้ปรากฏตัวขึ้น และได้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและทำนมาซมัยยิตแล้วทำการฝังศพของนาง หลังจากพิธีการฝังศพ ชายที่สวมหน้ากากทั้งสองคนก็ขึ้นหลังม้าและจากไปโดยไม่พูดคุยกับใครเลย [33] รายงานจากฟาฎิล ลังการอนี (เสียชีวิตเมื่อ 1386 สุริยคติ) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ชายทั้งสองคนนี้นั้น จะเป็นอิมาม(34)‎

สถานภาพของท่านหญิงที่มีต่อชีอะฮ์

บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ มีสถานภาพอันสูงส่ง และมีริวายะฮ์ต่างๆที่รายงานเกี่ยวกับสถานภาพของนางและความสำคัญในการซิยาเราะฮ์ฮะรอมของนาง โดยอัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซีย์ เขียนไว้ในหนังสือ บิฮารุลอันวารของเขาว่า ฮะดีษจากอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า บรรดาชีอะฮ์ทั้งหมดจะเข้าสู่สวรรค์ด้วยการได้รับชะฟาอะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) (35) ในส่วนหนึ่งจากบทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ยังถือเป็นเหตุผลในสถานภาพและฐานันดรของนางที่มีต่อพระเจ้า ด้วยการให้ชะฟาอะฮ์ [36][หมายเหตุที่ 1]‎

มุฮัมมัดตะกี ชูชตะรี ในศตวรรษที่ 14 แห่งสุริยคติ เขาเขียนไว้ในกอมูซอัรริญาล (พจนานุกรม) ว่า ในบรรดาบุตร จำนวนมากของอิมามกาซิม (อ.) หลังจากอิมามริฎอ (อ.) ไม่มีใครเท่าเทียมกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ได้ [37] เชคอับบาส กุมมี ถือว่า ท่านหญิงเป็นหนึ่งในบุตรีที่ประเสริฐที่สุดของอิมามกาซิม (อ.) [38] นอกจากนี้ เขายังถือว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เป็นหนึ่งในลูกหลานของอิมาม ซึ่งมีสถานภาพอันสูงส่ง และเป็นหนึ่งในบุตรของอิมามกาซิมอย่างแน่นอนและฮะรอมและสถานที่ฝังศพของนางอยู่ที่นี่ (39)‎

มีริวายะฮ์ต่างๆ รายงานจากอิมามศอดิก (อ.) รายงานจากอิมามกาซิม (อ.) และอิมามญะวาด (อ.) ระบุว่า สวรรค์จะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มาซิยาเราะฮ์ฟาฏิมะฮ์ บุตรีอิมามกาซิม (อ.) (40) แน่นอนว่า ในบางริวายะฮ์ รางวัลจากสวรรค์ จะมอบให้กับผู้ที่มาซิยาเราะฮ์ด้วยความรู้และความเข้าใจ (41)‎

ผู้เขียนหนังสือ ชีวประวัติของกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ (ซ.) รายงานจากมะฮ์มูด อันศอรี กุมมี (เสียชีวิต: 1377 สุริยคติ) ‎และเขารายงานจากซัยยิด นัศรุลลอฮ์ มุสตัมบัต นักวิชาการชีอะฮ์ (เสียชีวิต: 1364 สุริยคติ) ว่า ในต้นฉบับของหนังสือ กัชฟุลลิอาลี เขียนโดย ศอลิห์ บิน อะรันด์ ฮิลลี นักวิชาการชีอะฮ์แห่งศตวรรษที่ 9 ของฮิจเราะฮ์ศักราช ‎ระบุว่า มีฮะดีษจากอิมามกาซิม (อ.) กล่าวถึงท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ว่า ขอให้บิดาของนางเสียสละเพื่อนาง จากการรายงานริวายะฮ์นี้ อิมามกาซิม (อ.) กล่าวประโยคนี้ เป็นคำตอบสำหรับชีอะห์อย่างถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีอิมาม (อ.)‎อยู่ ตามที่ ผู้เขียนหนังสือ ชีวประวัติของกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ ไม่พบฮะดีษนี้ในหนังสือฮะดีษใดๆ ยกเว้นการรายงานนี้เท่านั้น(42)‎

บทซิยาเราะฮ์

อัลลามะฮ์ มัจลิซีย์ ได้รายงานในหนังสือ ซาดุลมะอาด บิฮารุลอันวาร และตุฮ์ฟะตุซซาอิร ว่า บทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ รายงานจากอิมามริฎอ (อ.) (43) แน่นอนว่า เขาเขียนในหนังสือ ตุฮ์ฟะตุซซาอิร ว่า ‎หลังจากกล่าวถึงบทซิยาเราะฮ์นี้ คาดว่า เนื้อหาของมันไม่ใช่ฮะดีษจากอิมามริฎอ (อ.) แต่บรรดานักวิชาการได้เพิ่มมันเข้าไป (44) กล่าวได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เป็นสตรีที่มีบทซิยาเราะฮ์มะอ์ษูร (บทซิยาเราะฮ์ที่มีสายรายงานจากมะอ์ศูม) (45)‎

‎จากบทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ บ่งบอกว่า ท่านหญิงกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์นั้นมีเชื้อสายที่สูงส่งจากบรรดาศาสดาและเอาลิยาอ์ กล่าวคือ เมื่อเชื้อสายของบรรดาศาสดาและเอาลิยาอ์ของพระเจ้า (อ.) ได้สิ้นสุดลง ก็ถึงวาระของเหล่าสานุศิษย์ที่โดดเด่นและอัศฮาบที่พิเศษของบรรดาอิมาม การดำรงอยู่ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)ในฐานะเป็นศิษย์ที่เป็นแบบอย่างและเป็นหนึ่งในอัศฮาบที่พิเศษของบรรดาอิมาม (อ.) และเป็นผู้สืบทอดคำสั่งสอนนั้น กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความสะอาด บริสุทธิ์ มีมะอ์รีฟะฮ์ มีความสัมถะ เป็นผู้ที่ปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮ์ ‎ผู้ทรงความรู้ มีสติปัญญา และมีความสูงส่งทางจิตวิญญาณอื่นๆ อันเป็นผลมาจากการเป็นศิษย์ของบรรดาอิมาม (อ.) ‎และอัศฮาบของอิมาม (อ.) [46]‎

ฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์

บนสุสานของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ในเมืองกุม ในช่วงแรก มีเพียงหลังคาและจากนั้นก็มีการสร้างโดมปกคลุม [47] ‎สุสานแห่งนี้ค่อยๆ ขยายออกไปจนทุกวันนี้ กลายเป็นสุสานที่มีความงดงามและมีชื่อเสียงที่สุดในอิหร่านรองจากฮะรอม ราซาวี (48) ] ฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ประกอบด้วยอาคาร สถานที่วะกัฟ และสำนักงานต่างๆที่‎เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองกุม [49]‎

การจัดงานเทอดเกียรติและภาพยนตร์

การจัดงานเทอดเกียรติ ในปี 1384 สุริยคติอิหร่าน ได้มีการจัดงานเทอดเกียรติต่อบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) และ‎สถานที่ทางวัฒนธรรมของเมืองกุม โดยคำสั่งของอะลีอักบัร มัซอูดีย์ โคมัยนี ผู้ดูแลฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ (50) ในงานเทอดเกียรตินี้ จัดขึ้นในฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ โดยมีมัรญิอ์ตักลีด อาทิเช่น อยาตุลลอฮ์ มะการิม ชีรอซี ‎และอับดุลลอฮ์ ญะวาดี ออมูลี กล่าวสุนทรพจน์ [51]‎

อะฮ์มัด อาบิดีย์ ประธานจัดงานนี้ ได้ประกาศจัดพิมพ์หนังสือจำนวน 54 เล่มในหัวข้อเกี่ยวกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ‎ฮะรอมของท่านหญิง สถาบันเฮาซะฮ์อิลมียะฮ์ เมืองกุม และการปฏิวัติอิสลามในเมืองกุม (52) ‎

ภาพยนตร์ อุคตุรริฎอ ภาพยนตร์เรื่อง อุคตุรริฎอ บอกเล่าถึงเรื่องราวการเดินทางของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) จากเมืองมะดีนะห์ถึงเมืองกุม ภาพยนตร์เรื่องนี้ ออกฉายในเมืองกุม เมื่อวันที่ 24 รอบีอุลเอาวัล ฮิจเราะห์ศักราชที่ 1445 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ‎เมห์ร์ 1402 สุริยคติอิหร่าน[53]‎

แหล่งอ้างอิง

หนังสือบางเล่มที่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ มีดังต่อไปนี้ :‎

‎ฮาซรัตเต มาซูเมห์ ฟอติเมเยดูวูม เขียนโดย มุฮัมมัด มุฮัมมะดี เอชติฮอรดี

‎พัรทูว์ อัซ รูเยดูซ เขียนโดย อิสมาอีล คิรมอนชาฮี

ชีวประวัติของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และประวัติศาสตร์เมืองกุม เขียนโดย ซัยยิดมะฮ์ดี ซุฮุฟี

ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เขียนโดย ซัยยิดอะลีริฎอ ซัยยิดกิบารี

ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และเมืองกุม เขียนโดย มุฮัมมัด กะรีมี

‎ชีวิตและกะรอมัตของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เขียนโดย ซัยยิดมุฮัมมัดอะลี ฮุซัยนี บักกออี ลุบนานี ‎

บอนูเยมะลากูต เขียนโดย อะลี กะรีมี ญะฮ์รุมี

‏อัมเมเย ซอดอต เขียนโดย ซัยยิดอะบุลกอซิม ฮะมีดี