ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)
ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) มีนามว่า ฟาฎิมะฮ์ บุตรีของอิมามกาซิม (อ.) และเป็นน้องสาวของอิมามริฎอ (อ.) นางเป็นบุตรีที่ประเสริฐที่สุดของอิมามกาซิม (อ.) และกล่าวกันว่า ในหมู่บุตรทั้งหลายของอิมามกาซิม (อ.) หลังจากอิมามริฎอแล้ว ไม่มีบุตรคนใดที่มีฐานภาพสูงส่ง เหมือนดังท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)
ในแหล่งข้อมูลจำนวนมากทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับวันที่ถือกำเนิดและวันวะฟาตของท่านหญิง และประเด็นที่เกี่ยวกับการแต่งงานก็ไม่มีข้อมูลมากนัก แต่สิ่งที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ยังไม่ได้แต่งงาน
มะอ์ศูมะฮ์ และกะรีมะตุอะลุลบัยต์ ล้วนเป็นสมญานามที่เป็นที่รู้จักของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บุตรีของอิมามกาซิม ดังในรายงานฮะดีษจากอิมามริฎอ(อ.)ได้กล่าวชื่อท่านหญิงว่า มะอ์ศูมะฮ์
ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังอิหร่าน ในปี 201 ฮ.ศ. ตามคำร้องขอของอิมามริฏอ (อ.) พี่ชายของนาง และเพื่อไปเยี่ยมเยียนเขา แต่ทว่า ในระหว่างทาง ท่านหญิงได้ล้มป่วย และท่านหญิงไปยังเมืองกุมตามคำร้องขอของชาวกุม และได้พำนักอยู่ในบ้านของชายคนหนึ่งชื่อว่า มูซา บิน ค็อซร็อจ อัชอะรี และท่านหญิงเสียชีวิต หลังจากนั้น 17 วัน แล้ว ร่างของท่านหญิงถูกฝังอยู่ในสุสานชื่อ บาบิลัน (ในปัจจุบันคือ ฮะรอมของท่านหญิง) ซัยยิด ญะอ์ฟัร มุรตะฎอ อามิลี (เสียชีวิต: 1441 ฮ.ศ.) เชื่อว่า ท่านหญิงมะฮ์ศูมะฮ์(ซ.) ถูกวางยาพิษและเป็นชะฮีดในเมืองซาเวห์
ชาวชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) นั้น มีความสูงส่ง และมีความสำคัญในการเดินทางเพื่อทำการซิยาเราะฮ์ท่านหญิง นอกจากนี้ ยังมีริวายะฮ์เกี่ยวกับท่านหญิง รายงานว่า ท่านหญิงจะให้ชะฟาอะฮ์สำหรับชาวชีอะฮ์ และสวรรค์ ถือเป็นรางวัลของการซิยาเราะฮ์ท่านหญิง กล่าวกันว่า หลังจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้มีรายงานว่า มีบทซิยาเราะฮ์โดยเฉพาะ
ข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์
ซะบีฮุลลอฮ์ มะฮัลลาตี กล่าวไว้ในหนังสือริยาฮีนุชชะรีอะฮ์ ว่า ไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) รวมถึงวันเดือนปีเกิด และการเสียชีวิตของนาง อายุขัยของนาง เวลาไหนที่นางเดินทางออกจากมะดีนะฮ์ และนางเสียชีวิตก่อนการเป็นชะฮีดของอิมามริฎอ (อ.) หรือหลังจากนั้น ก็ยังไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์[1]
เชื้อสาย
ฟาฏิมะฮ์ เป็นบุตรีของอิมามกาซิม (อ.) และเป็นน้องสาวของอิมามริฎอ (อ.) มีฉายานามว่า มะอ์ศูมะฮ์ เชคมุฟีดเขียนในหนังสือ อัลอิรชาดของเขา ว่า อิมามกาซิม มีบุตรีทั้งหมด 2 คน กล่าวคือ ฟาฏิมะฮ์กุบรอ และฟาฏิมะฮ์ศุฆรอ โดยที่ไม่มีการระบุว่า ผู้ใดคือ ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ [2] อิบนุเญาซี นักวิชาการชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในศตวรรษที่ 6 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช กล่าวว่า มีบุตรีของอิมามกาซิมที่มีชื่อว่า ฟาฏิมะฮ์ ในบรรดาบุตรีทั้งสี่คนของอิมามกาซิม (อ.) แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวถึงว่า ใครคือท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ [3] มุฮัมมัด บินญะรีร ผู้เขียนหนังสือ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์ เขียนว่า มารดาของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ คือ ท่านหญิงนัจญ์มะฮ์ คอตูน ซึ่งเป็นมารดาของอิมามริฏอ (อ.) ด้วยเช่นกัน. [4]
วันเดือนปีเกิดและวันที่เสียชีวิต
ในแหล่งอ้างอิงเดิมของชีอะฮ์ ไม่ได้กล่าวถึงวันเดือนปีเกิดและการเสียชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ . ริฎอ อุสตาดี นักวิชาการชีอะฮ์ กล่าวว่า หนังสือเล่มแรกที่กล่าวถึงวันเดือนปีเกิด คือ นูร อัล-อาฟาก เขียนโดยญะวาด ชาห์อับดุลอะซีมี [5] ซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ในปี 1344 ฮ.ศ. [6] ในหนังสือเล่มนี้ เขียนว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ถือกำเนิด ในวันที่ 1 ซุลเกาะอ์ดะฮ์ ปี 173 ฮ.ศ. และวันเสียชีวิตของนาง คือ ในวันที่ 10 รอบีอุษษานี ในปี 201 ฮ.ศ. และจากหนังสือเล่มนั้น ก็ได้มีการค้นพบในหนังสือเล่มอื่นๆ [7]แต่ทว่า นักวิชาการบางคน เช่น อยาตุลลอฮ์ มัรอะชี นะญะฟี [8] อยาตุลลอฮ์ ชุบัยรี ซันญานี [9] ริฎอ อุสตาดี [10] และซะบีฮุลลอฮ์ มะฮัลลาตี [11] ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ของชาห์ อับดุลอะซีมี และถือว่า วันที่ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นของปลอม
ในปฏิทินอย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันแรกของเดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ได้รับการตั้งชื่อให้เป็นวันเด็กผู้หญิง[12]
ฉายานาม
มะอ์ศูมะฮ์ และกะรีมะฮ์ เป็นฉายานามที่เป็นที่รู้จักของฟาฏิมะฮ์ บุตรีอิมามกาซิม [13] พวกเขากล่าวว่า มะอ์ศูมะฮ์ ถูกนำมาจากริวายะฮ์ของอิมามริฎอ (อ.) [14] ในริวายะฮ์นี้ ซึ่งได้รายงานในหนังสือ ซาดุลมะอาด เขียนโดย มุฮัมมัดบากิร มัจญ์ลิซี กล่าวว่า อิมามริฎอเรียกนางว่า มะอ์ศูมะฮ์ [15]
ปัจจุบันนี้ เรียก ฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ ว่า กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ [16] กล่าวได้ว่า ฉายานามนี้ เกิดขึ้นจากความฝันของซัยยิดมะฮ์มูด มัรอะชีย์ นะญะฟี บิดาของอยาตุลลอฮ์มัรอะชีย์ และในความฝันนั้น หนึ่งในบรรดาอิมาม ผู้บริสุทธิ์ (อ.) เรียกท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ว่า กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ (17)
การแต่งงาน
ในหนังสือริยาฮีนุชชะรีอะฮ์ เขียนว่า ไม่ทราบว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ได้แต่งงานแล้วหรือไม่ และนางมีบุตรหรือไม่ [18] แน่นอนว่า เป็นที่รู้กันว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ไม่เคยแต่งงานมาก่อน [19] และมีเหตุผลที่บอกว่า นางไม่ได้แต่งงาน อาทิเช่น เนื่องจากไม่สามารถหาคู่ครองที่เหมาะสมกับนางได้ (20) นอกจากนี้ ยะอ์กูบี นักรายงานประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 3 ของฮิจเราะฮ์ศักราช เขียนว่า: อิมามกาซิม (อ.) ได้สั่งเสียว่า ไม่มีบุตรีคนใดของเขาที่จะแต่งงานเลย [21] แต่คำพูดนี้ ไม่ปรากฏในคำสั่งเสียของอิมาม ที่กุลัยนีรายงานในหนังสืออัลกาฟีย์จากอิมามกาซิมเลย [22] นักวิจัยบางคนเชื่อว่า เหตุผลที่ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และบรรดาน้องสาวของนางไม่ได้แต่งงาน เนื่องสถานการณ์บีบบังคับของการปกครองของบะนีอับบาซียะฮ์ โดยเฉพาะในยุคสมัยของฮารูนและมะอ์มูน อับบาซี[24]
การเดินทางมายังอิหร่าน การเข้าสู่เมืองกุม และการเสียชีวิต
ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองกุม เขียนไว้ว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)ได้เดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ ไปยังอิหร่าน ในปี 201 ฮ.ศ. เพื่อการเยี่ยมเยียนอิมามริฎอ (อ.) ผู้เป็นพี่ชายของนาง (25) ตามการรายงานของบากิร ชะรีฟ กุรอชี นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ จากหนังสือ เญาฮะเราะตุลกะลาม ฟีย์ มัดฮิซซะดาติลอะอ์ลาม ระบุว่า เหตุผลของการเดินทางไปยังอิหร่านของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) คือ จดหมายที่อิมามริฎอ ได้ส่งถึงนาง โดยเขาได้ขอให้นางไปหาเขาที่โครอซาน [26] อิมามริฎอ (อ.) ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารแห่งมะอ์มูน เคาะลีฟะฮ์อับบาซี และอาศัยอยู่ในโครอซาน ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ในระหว่างทาง เกิดล้มป่วยแล้วเสียชีวิต [27] ซัยยิดญะอ์ฟัร มุรตะฎอ อามิลี กล่าวว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) ถูกลอบวางยาพิษและเป็นชะฮีดพลีชีพในเมืองซาเวห์ [28]
ในกรณีการเดินทางไปยังเมืองกุม มีสองรายงาน ตามรายงานแรก ระบุว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) เกิดล้มป่วยในเมืองซาเวห์และขอร้องให้ผู้ที่ร่วมเดินทางนำนางไปยังเมืงอกุมมี (29) ตามรายงานที่สอง ระบุว่า ผู้เขียนประวัติศาสตร์ของเมืองกุม ถือว่า สิ่งนั้นมีความถูกต้องมากกว่า และชาวกุมเองเป็นผู้ขอร้องให้ท่านหญิงมายังเมืองกุม (30)
ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) อาศัยอยู่ในเมืองกุม ที่บ้านส่วนตัวของชายที่มีชื่อ มูซา บิน ค็อซร็อจญ์ อัชอะรีย์ และเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านไป 17 วัน [31] ร่างของนางถูกฝังอยู่ในสุสานชื่อ บาบิลาน (ซึ่งในปัจจุบัน คือ ฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์) (32) อาลิซะอ์ด์ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในกรณีการฝังศพของนาง จนในที่สุด พวกเขาตัดสินใจว่า กอดิร คนรับใช้ ซึ่งเขาเป็นชายชราผู้ทรงคุณธรรม เป็นกระทำพิธีการฝังศพ แต่ทันใดนั้นเองมีชายสองคนสวมหน้ากากควบม้ามาทางทะเลทรายได้ปรากฏตัวขึ้น และได้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและทำนมาซมัยยิตแล้วทำการฝังศพของนาง หลังจากพิธีการฝังศพ ชายที่สวมหน้ากากทั้งสองคนก็ขึ้นหลังม้าและจากไปโดยไม่พูดคุยกับใครเลย [33] รายงานจากฟาฎิล ลังการอนี (เสียชีวิตเมื่อ 1386 สุริยคติ) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ชายทั้งสองคนนี้นั้น จะเป็นอิมาม(34)
สถานภาพของท่านหญิงที่มีต่อชีอะฮ์
บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ มีสถานภาพอันสูงส่ง และมีริวายะฮ์ต่างๆที่รายงานเกี่ยวกับสถานภาพของนางและความสำคัญในการซิยาเราะฮ์ฮะรอมของนาง โดยอัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซีย์ เขียนไว้ในหนังสือ บิฮารุลอันวารของเขาว่า ฮะดีษจากอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า บรรดาชีอะฮ์ทั้งหมดจะเข้าสู่สวรรค์ด้วยการได้รับชะฟาอะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) (35) ในส่วนหนึ่งจากบทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ยังถือเป็นเหตุผลในสถานภาพและฐานันดรของนางที่มีต่อพระเจ้า ด้วยการให้ชะฟาอะฮ์ [36][หมายเหตุที่ 1]
มุฮัมมัดตะกี ชูชตะรี ในศตวรรษที่ 14 แห่งสุริยคติ เขาเขียนไว้ในกอมูซอัรริญาล (พจนานุกรม) ว่า ในบรรดาบุตร จำนวนมากของอิมามกาซิม (อ.) หลังจากอิมามริฎอ (อ.) ไม่มีใครเท่าเทียมกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ได้ [37] เชคอับบาส กุมมี ถือว่า ท่านหญิงเป็นหนึ่งในบุตรีที่ประเสริฐที่สุดของอิมามกาซิม (อ.) [38] นอกจากนี้ เขายังถือว่า ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เป็นหนึ่งในลูกหลานของอิมาม ซึ่งมีสถานภาพอันสูงส่ง และเป็นหนึ่งในบุตรของอิมามกาซิมอย่างแน่นอนและฮะรอมและสถานที่ฝังศพของนางอยู่ที่นี่ (39)
มีริวายะฮ์ต่างๆ รายงานจากอิมามศอดิก (อ.) รายงานจากอิมามกาซิม (อ.) และอิมามญะวาด (อ.) ระบุว่า สวรรค์จะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มาซิยาเราะฮ์ฟาฏิมะฮ์ บุตรีอิมามกาซิม (อ.) (40) แน่นอนว่า ในบางริวายะฮ์ รางวัลจากสวรรค์ จะมอบให้กับผู้ที่มาซิยาเราะฮ์ด้วยความรู้และความเข้าใจ (41)
ผู้เขียนหนังสือ ชีวประวัติของกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ (ซ.) รายงานจากมะฮ์มูด อันศอรี กุมมี (เสียชีวิต: 1377 สุริยคติ) และเขารายงานจากซัยยิด นัศรุลลอฮ์ มุสตัมบัต นักวิชาการชีอะฮ์ (เสียชีวิต: 1364 สุริยคติ) ว่า ในต้นฉบับของหนังสือ กัชฟุลลิอาลี เขียนโดย ศอลิห์ บิน อะรันด์ ฮิลลี นักวิชาการชีอะฮ์แห่งศตวรรษที่ 9 ของฮิจเราะฮ์ศักราช ระบุว่า มีฮะดีษจากอิมามกาซิม (อ.) กล่าวถึงท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ว่า ขอให้บิดาของนางเสียสละเพื่อนาง จากการรายงานริวายะฮ์นี้ อิมามกาซิม (อ.) กล่าวประโยคนี้ เป็นคำตอบสำหรับชีอะห์อย่างถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีอิมาม (อ.)อยู่ ตามที่ ผู้เขียนหนังสือ ชีวประวัติของกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ ไม่พบฮะดีษนี้ในหนังสือฮะดีษใดๆ ยกเว้นการรายงานนี้เท่านั้น(42)
บทซิยาเราะฮ์
อัลลามะฮ์ มัจลิซีย์ ได้รายงานในหนังสือ ซาดุลมะอาด บิฮารุลอันวาร และตุฮ์ฟะตุซซาอิร ว่า บทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ รายงานจากอิมามริฎอ (อ.) (43) แน่นอนว่า เขาเขียนในหนังสือ ตุฮ์ฟะตุซซาอิร ว่า หลังจากกล่าวถึงบทซิยาเราะฮ์นี้ คาดว่า เนื้อหาของมันไม่ใช่ฮะดีษจากอิมามริฎอ (อ.) แต่บรรดานักวิชาการได้เพิ่มมันเข้าไป (44) กล่าวได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เป็นสตรีที่มีบทซิยาเราะฮ์มะอ์ษูร (บทซิยาเราะฮ์ที่มีสายรายงานจากมะอ์ศูม) (45)
จากบทซิยาเราะฮ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ บ่งบอกว่า ท่านหญิงกะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์นั้นมีเชื้อสายที่สูงส่งจากบรรดาศาสดาและเอาลิยาอ์ กล่าวคือ เมื่อเชื้อสายของบรรดาศาสดาและเอาลิยาอ์ของพระเจ้า (อ.) ได้สิ้นสุดลง ก็ถึงวาระของเหล่าสานุศิษย์ที่โดดเด่นและอัศฮาบที่พิเศษของบรรดาอิมาม การดำรงอยู่ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.)ในฐานะเป็นศิษย์ที่เป็นแบบอย่างและเป็นหนึ่งในอัศฮาบที่พิเศษของบรรดาอิมาม (อ.) และเป็นผู้สืบทอดคำสั่งสอนนั้น กะรีมะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความสะอาด บริสุทธิ์ มีมะอ์รีฟะฮ์ มีความสัมถะ เป็นผู้ที่ปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮ์ ผู้ทรงความรู้ มีสติปัญญา และมีความสูงส่งทางจิตวิญญาณอื่นๆ อันเป็นผลมาจากการเป็นศิษย์ของบรรดาอิมาม (อ.) และอัศฮาบของอิมาม (อ.) [46]
ฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์
บนสุสานของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ในเมืองกุม ในช่วงแรก มีเพียงหลังคาและจากนั้นก็มีการสร้างโดมปกคลุม [47] สุสานแห่งนี้ค่อยๆ ขยายออกไปจนทุกวันนี้ กลายเป็นสุสานที่มีความงดงามและมีชื่อเสียงที่สุดในอิหร่านรองจากฮะรอม ราซาวี (48) ] ฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ประกอบด้วยอาคาร สถานที่วะกัฟ และสำนักงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองกุม [49]
การจัดงานเทอดเกียรติและภาพยนตร์
การจัดงานเทอดเกียรติ ในปี 1384 สุริยคติอิหร่าน ได้มีการจัดงานเทอดเกียรติต่อบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) และสถานที่ทางวัฒนธรรมของเมืองกุม โดยคำสั่งของอะลีอักบัร มัซอูดีย์ โคมัยนี ผู้ดูแลฮะรอมอันศักดิ์สิทธิ์ (50) ในงานเทอดเกียรตินี้ จัดขึ้นในฮะรอมของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ โดยมีมัรญิอ์ตักลีด อาทิเช่น อยาตุลลอฮ์ มะการิม ชีรอซี และอับดุลลอฮ์ ญะวาดี ออมูลี กล่าวสุนทรพจน์ [51]
อะฮ์มัด อาบิดีย์ ประธานจัดงานนี้ ได้ประกาศจัดพิมพ์หนังสือจำนวน 54 เล่มในหัวข้อเกี่ยวกับท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ ฮะรอมของท่านหญิง สถาบันเฮาซะฮ์อิลมียะฮ์ เมืองกุม และการปฏิวัติอิสลามในเมืองกุม (52)
ภาพยนตร์ อุคตุรริฎอ ภาพยนตร์เรื่อง อุคตุรริฎอ บอกเล่าถึงเรื่องราวการเดินทางของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ (ซ.) จากเมืองมะดีนะห์ถึงเมืองกุม ภาพยนตร์เรื่องนี้ ออกฉายในเมืองกุม เมื่อวันที่ 24 รอบีอุลเอาวัล ฮิจเราะห์ศักราชที่ 1445 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 เมห์ร์ 1402 สุริยคติอิหร่าน[53]
แหล่งอ้างอิง
หนังสือบางเล่มที่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มะอ์ศูมะฮ์ มีดังต่อไปนี้ :
ฮาซรัตเต มาซูเมห์ ฟอติเมเยดูวูม เขียนโดย มุฮัมมัด มุฮัมมะดี เอชติฮอรดี
พัรทูว์ อัซ รูเยดูซ เขียนโดย อิสมาอีล คิรมอนชาฮี
ชีวประวัติของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และประวัติศาสตร์เมืองกุม เขียนโดย ซัยยิดมะฮ์ดี ซุฮุฟี
ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เขียนโดย ซัยยิดอะลีริฎอ ซัยยิดกิบารี
ท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์และเมืองกุม เขียนโดย มุฮัมมัด กะรีมี
ชีวิตและกะรอมัตของท่านหญิงมะอ์ศูมะฮ์ เขียนโดย ซัยยิดมุฮัมมัดอะลี ฮุซัยนี บักกออี ลุบนานี
บอนูเยมะลากูต เขียนโดย อะลี กะรีมี ญะฮ์รุมี
อัมเมเย ซอดอต เขียนโดย ซัยยิดอะบุลกอซิม ฮะมีดี