ชีอะฮ์

จาก wikishia

ชีอะฮ์ เป็นหนึ่งในสองมัซฮับ (นิกาย) หลักของศาสนาอิสลาม อิมามะฮ์ เป็นหนึ่งในหลักการของมัซฮับชีอะฮ์และความแตกต่างระหว่างพวกเขากับอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ตามหลักการนี้ อิมามได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าและถูกแนะนำให้ประชาชนรู้จักโดยผ่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ตามพื้นฐานของมัซฮับนี้ ศาสดาแห่งอิสลามได้แต่งตั้งท่านอิมามอะลี (อ.)เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา ด้วยพระบัญชาจากพระเจ้า

บรรดาชีอะฮ์ทุกคน ยกเว้น สำนักคิดซัยดียะฮ์ ถือว่า อิมามเป็นผู้ความที่มีบริสุทธิ์ปราศจากบาป และเชื่อว่า อิมามคนสุดท้าย คือ มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา (อ.ญ.) อยู่ในการเร้นกายและวันหนึ่ง เขาจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในโลก

ความเชื่อทางหลักศรัทธาบางประการของชีอะฮ์ ได้แก่ ความดีและความชั่วทางสติปัญญา ความบริสุทธิ์ของคุณลักษณะของพระเจ้า อัมรุน บัยนัลอัมร็อยน์ ความไม่ยุติธรรมของบรรดาเศาะฮาบะฮ์ ตะกียะฮ์ ตะวัสซุล และชะฟาอะฮ์

ในมัซฮับชีอะฮ์ เฉกเช่นเดียวกับมัซฮับซุนนี แหล่งที่มาของคำวินิจฉัยหลักศาสนบัญญัติ ได้แก่ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ สติปัญญา และอิจญ์มาอ์(มติเอกฉันท์) แน่นอนว่า ในทัศนะของชีอะฮ์ นอกเหนือจากซุนนะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) แล้ว บรรดาชีอะฮ์ยังพิจารณาซุนนะฮ์ของบรรดาอิมามอีกด้วย หมายถึง การกระทำและคำพูดของพวกเขา เป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจน

ปัจจุบันนี้ มัซฮับชีอะฮ์ มีสำนักคิดที่สำคัญอยู่สามสำนักคิด ได้แก่ อิมามียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์และซัยดียะฮ์ ชีอะฮ์อิมามีหรือสิบสองอิมาม ประกอบขึ้นเป็นประชากรส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ พวกเขาเชื่อในอิมามทั้ง 12 คน ซึ่ง คนสุดท้าย คือ มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา (อ.ญ.)

อิสมาอีลียะฮ์ ยอมรับบรรดาอิมาม จนถึงอิมามคนที่ 6 กล่าวคือ อิมามศอดิก (อ.)และหลังจากเขา ถัดมา คือ อิสมาอีล บุตรชายของอิมามศอดิก (อ.)และมุฮัมมัด บุตรของอิสมาอีล ถือเป็นอิมาม และเชื่อว่า เขา คือ มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา ซัยดียะฮ์ไม่ได้จำกัดจำนวนของบรรดาอิมาม และพวกเขาเชื่อว่า ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ทุกคน ที่เป็นนักวิชาการ นักพรต ผู้กล้าหาญ เป็นคนใจกว้างและมีผู้ลุกขึ้นต่อสู้ ล้วนเป็นอิมามทั้งสิ้น

การปกครองของอาลิอิดรีส อะลาวีแห่งเฏาะบะริสตาน อาลิยูเยฮ์ ซัยดียะฮ์แห่งเยเมน ฟาฏิมียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์ ซัรบ์ดารอนแห่งซับซะวาร ศอฟะวียะฮ์และสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน อยู่ในหมู่ระบอบการปกครองของชีอะฮ์ในโลกอิสลาม

ตามรายงานของสมาคมศาสนาและชีวิตของสถาบันพิว พบว่า ระหว่าง 10 ถึง 13 เปอร์เซ็นต์ของประชากรมุสลิมทั่วโลก เป็นชีอะฮ์ ประชากรของบรรดาชีอะฮ์ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 154 ถึง 200 ล้านคน บรรดาชีอะฮ์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอิหร่านปากีสถาน อินเดียและอิรัก

คำนิยาม

ชีอะฮ์ หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามอิมามอะลี (อ.) และบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ)ได้แต่งตั้งอิมามอะลี (อ)อย่างชัดเจน ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งโดยทันที [1] เชคมุฟีด เชื่อว่า คำว่า ชีอะฮ์ เมื่อใช้ร่วมกับ อะลีฟและลาม(อัล) หมายถึง เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามอิมามอะลี (อ.) ซึ่งเชื่อว่า เขามีอำนาจและเป็นผู้นำหลังจากศาสดาโดยทันที [2] ในทางกลับกัน ชาวซุนนี กล่าวว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอดของเขา และเนื่องจากมติเอกฉันท์ของชาวมุสลิมในการให้สัตยาบันต่ออบูบักร์ เขาจึงเป็นผู้สืบทอดของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [3]

ตามที่เราะซูล ญะอ์ฟะรียอน นักวิจัยประวัติศาสตร์ชาวชีอะฮ์ กล่าวไว้ว่า จนกระทั่งหลายศตวรรษ หลังจากการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม เรียกบุคคลที่มีความรักอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และบรรดาผู้ที่ถือว่า อิมามอะลี (อ.) มาก่อนอุษมาน (เคาะลีฟะฮ์คนที่ 3) ว่า ชีอะฮ์ ด้วยเช่นกัน[4] พวกเขาตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก ซึ่งเป็นชาวชีอะฮ์ทางหลักศรัทธา [หมายเหตุ 1] พวกเขาจึงถูกเรียกว่า เป็นชีอะฮ์ด้วยความรัก (ผู้ที่มีความรักอะฮ์ลุลบัยต์) [5]

ชีอะฮ์ ทางด้านภาษา หมายถึง ผู้ตาม เพื่อน และกลุ่ม [6]

ประวัติความเป็นมา

มีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชีอะฮ์ เช่น ตั้งแต่ช่วงชีวิตของศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) หลังจากเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ หลังจากการลอบสังหารอุษมาน และหลังจากเหตุการณ์ฮะกะมียะฮ์ ก็ถูกกล่าวถึงว่า เป็นประวัติความเป็นมาของชีอะฮ์ [7] นักวิชาการชีอะฮ์บางคน เชื่อว่า ตั้งแต่ช่วงชีวิตของศาสดาแห่งอิสลาม เศาะฮาบะฮ์บางคนอยู่ร่ายล้อมท่านอะลี (อ.) และชีอะฮ์เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนั้น [8] พวกเขาอ้างถึงฮะดีษ[9]และรายงานทางประวัติศาสตร์[10] บนรากฐานนี้ ในสมัยของศาสดา ได้มีการแจ้งข่าวดีแก่บรรดาชีอะฮ์ของอะลี (อ.) หรือบางคนถูกกล่าวว่าเป็นชีอะฮ์ของอะลี (11) หลังจากการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)กลุ่มนี้ได้คัดค้านการตัดสินใจของสภาซะกีฟะฮ์ ในการเลือกอะบูบักร์ ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์และปฏิเสธที่จะให้คำสัตยาบันต่อเขาในฐานะเคาะลีฟะฮ์ [12] นาชี อักบัร เขียนในหนังสือ มะซาอิลุลอิมามะฮ์ว่า ตั้งแต่ยุคสมัยของท่านอะลี (อ.) มีชีอะฮ์ทางหลักศรัทธาอยู่แล้ว [13]

ทฤษฎีอิมามะฮ์

ทัศนะของบรรดาชีอะฮ์ ถือว่า ประเด็นอิมามะฮ์ เป็นประเด็นร่วมกันของสำนักคิดต่างๆของชีอะฮ์ [14] อิมามะฮ์ มีสถานภาพที่สำคัญเป็นอย่างมากและเป็นแกนของประเด็นทางเทววิทยาของชีอะฮ์ [15] บรรดาชีอะฮ์เชื่อว่า อิมามเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตีความคำวินิจฉัยทางศาสนา หลังจากศาสดา[16] ในริวายะฮ์ของบรรดาชีอะฮ์ รายงานว่า สถานภาพของอิมาม คือ ถ้ามีผู้ใดเสียชีวิตโดยที่ไม่รู้จักอิมามของเขา เขาเสียชีวิตในฐานะเป็นผู้ปฏิเสธ [17]

ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ผู้ใดที่ตายและเขาไม่รู้จักอิมามในยุคสมัยของเขา เขาตายในสภาพของผู้ไม่รู้ (การตายในสภาพปฏิเสธ) ตัฟตาซานี ชัรฮุมะกอศิด 1409 ฮ.ศ. เล่ม 5 หน้า 239

ความจำเป็นในการมีนัศสำหรับอิมาม

บรรดาชีอะฮ์ เชื่อว่า อิมามะฮ์ เป็นหนึ่งในหลักศรัทธาของศาสนาและเป็นตำแหน่งของพระเจ้า กล่าวคือ บรรดาศาสดาไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนเลือกอิมามขึ้นมาเองได้ และจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สืบทอดของพวกเขา[18] ดังนั้น นักเทววิทยาชีอะฮ์ (ยกเว้น ซัยดียะฮ์ ) [19 ]เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแต่งตั้งอิมาม (โดยศาสดาหรืออิมามคนก่อน) [20] และนัศ (คำพูดหรือการกระทำที่บ่งบอกถึงความหมายที่ตั้งใจไว้อย่างชัดเจน) [ 21] พวกเขา ถือว่า เป็นหนทางเดียวที่จะรู้จักอิมาม[22]

ข้อโต้แย้งของพวกเขา คือ อิมามจะต้องมีความบริสุทธิ์ปราศจากบาปและมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรับรู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของมนุษย์ [23] เพราะว่า ความบริสุทธิ์ เป็นคุณลักษณะภายใน และไม่สามารถบอกความบริสุทธิ์ของผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ (24) ดังนั้น จึงจำเป็นที่พระเจ้าจะทรงแต่งตั้งอิมามและแนะนำให้ผู้คนรู้จักโดยผ่านทางศาสดา [25]

ในหนังสือเทววิทยาของชีอะฮ์ มีเหตุผลเชิงการรายงานและเชิงสติปัญญาอย่างมากมายเกี่ยวกับความจำเป็นของการดำรงอยู่ของอิมามในสังคม[26] โองการ อุลุลอัมร์ และฮะดีษ มันมาตะ เป็นหนึ่งในเหตุผลเชิงการรายงานที่ชาวชีอะฮ์อ้างถึงความจำเป็นในการดำรงอยู่ของอิมาม(27)การอาศัยกฎแห่งความการุณย์ เป็นเหตุผลเชิงสติปัญญาของพวกเขา ในการอธิบายถึงเหตุผลนี้ พวกเขาเขียนว่า ในด้านหนึ่ง การดำรงอยู่ของอิมาม ทำให้ประชาชนหันมาปฏิบัติพระเจ้ามากขึ้นและไปกระทำบาปน้อยลง ในอีกนัยหนึ่ง ตามกฎแห่งความการุณย์ เป็นวาญิบสำหรับพระเจ้าที่จะกระทำทุกการงานด้วยเหตุผลนี้ ฉะนั้น การแต่งตั้งอิมาม จึงเป็นวาญิบสำหรับพระองค์[28]

ความบริสุทธิ์ของอิมาม

บรรดาชีอะฮ์ เชื่อในความบริสุทธิ์ของอิมาม และถือว่าเป็นเงื่อนไขของตำแหน่งอิมามะฮ์ [29]ในบริบทนี้ พวกเขาอ้างถึงเหตุผลเชิงการรายงานและเชิงสติปัญญา [30] โองการ อุลุลอัมร์ [ 31 ] โองการ อิบติลาอ์ อิบรอฮีม [32]และและฮะดีษซะเกาะลัยน์ [33]

ในหมู่ชีอะฮ์ ซัยดียะฮ์ไม่เชื่อในเรื่องความบริสุทธิ์ของอิมามทั้งหมด ตามความเชื่อของพวกเขากล่าวไว้ว่า มีเพียงอัศฮาบ กิซาอ์ เท่านั้น หมายถึง ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ )ท่านอะลี(อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านฮะซัน (อ.)และท่านฮุเซน (อ.) เท่านั้นที่เป็นผู้บริสุทธิ์ [34]ส่วนบรรดาอิมามที่เหลือ ก็เหมือนกับประชาชนทั่วไป ที่มีความผิดพลาด [35]

ประเด็นการสืบทอดตำแหน่งของศาสดา

บรรดาชีอะฮ์ เชื่อว่า ศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ได้แนะนำอิมามอะลี (อ.) แก่ประชาชน ในฐานะเป็นผู้สืบทอดของเขา และถือว่า อิมามะฮ์ เป็นสิทธิพิเศษของเขาและบรรดาบุตรของเขา(36) แน่นอนว่า ในบรรดาคนเหล่านี้ ซัยดียะฮ์ ยังยอมรับการเป็นอิมามะฮ์ของอบูบักร์และอุมัรอีกด้วย แต่พวกเขายังถือว่า อิมามอะลี (อ.) มีความสูงส่งมากกว่าทั้งสอง และกล่าวว่า ชาวมุสลิมกระทำความผิดพลาดในการเลือกอุมัรและอบูบักร์ ขึ้นเป็นอิมาม แต่เนื่องจากอิมามอะลี (อ.) มีความพึงพอใจในเรื่องนี้ เราจึงยอมรับการเป็นอิมามะฮ์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน[37]

บรรดานักเทววิทยาชีอะฮ์ สำหรับการพิสูจน์การสืบทอดตำแหน่งโดยทันทีของอิมามอะลี (อ.) หลังจากศาสดา พวกเขาได้ยกหลักฐานจากโองการอัลกุรอานและริวายะฮ์ ในจำนวนเหล่านี้ โองการวิลายะฮ์ ฮะดีษเฆาะดีร และฮะดีษมันซิลัต [38]

สำนักคิดของชีอะฮ์

สำนักคิดที่สำคัญที่สุดของชีอะฮ์ ได้แก่ อิมามียะฮ์ ซัยดียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์ ฆอลีย์ กิซานียะฮ์ และวากิฟียะฮ์ (39) บางสำนักคิดเหล่านี้ มีสาขาที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับ ซัยดียะฮ์ ซึ่งมีการกล่าวถึงสิบสาขา ด้วยกัน (40)และกิซานียะฮ์ ซึ่งแยกออกเป็นสี่สาขา[41] ด้วยเหตุนี้ ทำให้หลายสำนักคิด ถูกเรียกว่าเป็นสำนักคิดชีอะฮ์[42 ]แน่นอนว่า สำนักคิดชีอะฮ์จำนวนมากได้สูญหายไป และปัจจุบันนี้ มีเพียงสามสำนักคิดเท่านั้น กล่าวคือ อิมามียะฮ์ ซัยดียะฮ์ และอิสมาอีลียะฮ์ ที่มีผู้นับถือ [43]

กิซานียะฮ์ เป็นผู้ปฏิบัติตามมุฮัมมัด ฮะนะฟียะฮ์ พวกเขาถือว่า หลังจากอิมามอะลี(อ.) อิมามฮะซัน (อ.)และอิมามฮุเซน (อ.)มุฮัมมัด ฮะนะฟียะฮ์ บุตรชายอีกคนของอิมามอะลี (อ.) เป็นอิมาม และเชื่อว่า มุฮัมมัด ฮะนะฟียะฮ์ ยังไม่ตาย เขาเป็น มะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญาไว้ และเขาอาศัยอยู่ในภูเขาร็อฎวา [44]

วากิฟียะฮ์ หมายถึง บรรดาผู้ที่หยุดตำแหน่งอิมามะฮ์ หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามกาซิม (อ.) โดยพวกเขาถือว่า เขาเป็นอิมามคนสุดท้าย (45) พวกฆอลี เป็นกลุ่มที่พูดเกินจริงเกี่ยวกับสถานภาพของบรรดาอิมามของชีอะฮ์ กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในความเป็นพระเจ้าของบรรดาอิมาม พวกเขาไม่ได้ถือว่า พวกเขาเป็นสิ่งถูกสร้างและเปรียบเทียบกับพระเจ้า[46] บรรดาอิมามของชีอะฮ์ ได้ต่อสู้กับขบวนการฆอลี และทุกแนวคิดเกินจริง ในสถานการณ์ต่างๆ [47]

อิมามสิบสอง

ชีอะฮ์สิบสองอิมาม หรือ อิษนาอะชะรียะฮื ถือเป็นสำนักคิดที่ใหญ่ที่สุดของมัซฮับชีอะฮ์(48) ตามมัซฮับอิมามียะฮ์ หลังจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ )มีอิมาม12 คน คนแรกคือ อิมามอะลี (อ)และคนสุดท้ายคือ อิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) [49]ซึ่งขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ อยู่ในการเร้นกาย และวันหนึ่ง เขาจะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นบนโลก[50]

ร็อจญ์อะฮ์และบะดาอ์ เป็นความเชื่อที่พิเศษของบรรดาชีอะฮ์สิบสองอิมาม (51) ตามหลักคำสอนเรื่องร็อจญ์อะฮ์ หลังจากการปรากฏตัวของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ผู้ตายบางส่วนจะฟื้นคืนชีพ ผู้เสียชีวิตเหล่านี้ รวมถึงทั้งผู้กระทำความดีและบรรดาชีอะฮ์ และเหล่าศัตรูของอะฮ์ลุลบัยต์ที่คาดว่าจะได้รับการลงโทษสำหรับการกระทำของพวกเขาในโลกนี้(52)บะดาอ์ หมายถึง บางครั้ง พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงการงานหนึ่งซึ่งเปิดเผยต่อศาสดาหรืออิมาม และแทนที่ด้วยสิ่งอื่น เนื่องด้วยความเหมาะสม[53]

บรรดานักเทววิทยาที่สำคัญที่สุดของอิมามียะฮ์ คือ : เชคมุฟีด (336 หรือ 338-413 ฮ.ศ.) เชคฏูซี (385-460 ฮ.ศ.), ควอญะฮ์ นะศีรุดดีน ฏูซี (597-672 ฮ.ศ.) และอัลลามะฮ์ ฮิลลี (648-726 ฮ.ศ.) [54] บรรดานักนิติศาสตร์ของอิมามียะฮ์ที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ ได้แก่: เชคฏูซี มุฮักกิก ฮิลลี อัลลามะฮ์ ฮิลลี ชะฮีดเอาวัล ชะฮีดษานี กาชิฟุลฆิฏออ์ มีรซา กุมมี และเชคมุรตะฎอ อันศอรี [55]

บรรดาชีอะฮ์ส่วนใหญ่ในอิหร่าน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90% ของประชากรทั้งหมด เป็นชีอะฮ์อิมามสิบสอง[56]

ซัยดียะฮ์

ซัยดียะฮ์ เป็นสำนักคิดที่เชื่อมความสัมพันธ์ไปยัง ซัยด์ บิน อะลี บิน ฮุเซน (อ.) (57) ตามรากฐานของสำนักคิดนี้ ตำแหน่งอิมามะฮ์ มี อิมามอะลี อิมามฮะซัน อิมามฮุเซน เพียงเท่านั้น ที่ได้รับการแต่งตั้ง โดยผ่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) (58) นอกเหนือจากบรรดาอิมามทั้งสามแล้ว บุคคลใดก็ตามที่มาจากเชื้อสายของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) หากเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้ ไม่ว่า เขาจะเป็นนักวิชาการ ผู้สัมถะ เป็นคนใจกว้าง และเป็นผู้กล้าหาญ เขานั้นเป็นอิมาม (59)

ซัยดียะฮ์ มีสองจุดยืนในประเด็นที่เกี่ยวกับการเป็นอิมามะฮ์ของอะบูบักร์และอุมัร กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อในตำแหน่งอิมามะฮ์ของบุคคลทั้งสอง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่ยอมรับบุคคลทั้งสอง (60) ทัศนะของซัยดียะฮ์ในปัจจุบันนี้ของเยเมน มีความใกล้เคียงกับทัศนะของกลุ่มแรก (61)

ญารูดียะฮ์ ศอลิฮียะฮ์ และซุลัยมานียะฮ์ เป็นสามสาขาของสำนักคิดซัยดียะฮ์ (62) ชะฮ์ริสตานี ผู้เขียนหนังสือ อัลมิลัล วันนะฮัล กล่าวว่า ส่วนมากของซัยดียะฮ์ ได้รับอิทธิพลทางหลักศรัทธามาจากมุอ์ตะซิละฮ์ และทางนิติศาสตร์มาจากมัซฮับฮะนะฟี ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักคิดนิติศาสตร์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์(63)

ตามรายงานจากหนังสือ อัฏลัส ชีอะฮ์ เขียนว่า ในจำนวนประชากร 20 ล้านคนในเยเมน ประมาณ 35 ถึง 40 เปอร์เซ็น เป็นผู้นับถือสำนักคิดซัยดียะฮ์ (64)

อิสมาอีลียะฮ์

อิสมาอีลียะฮ์ เป็นหนึ่งในสำนักคิดของชีอะฮ์ ซึ่งในขณะที่มีศรัทธาต่อการเป็นอิมามะฮ์ของอิมามอะลี (อ.) จนถึงอิมามศอดิก (อ.) แต่หลังจากอิมามศอดิก (อ.) ถือว่า อิสมาอีล บุตรชายคนโตของเขา เป็นอิมาม และไม่ยอมรับการเป็นอิมามะฮ์ของอิมามกาซิม (อ.) และบรรดาอิมามคนอื่นๆ ของอิมามียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์เชื่อว่า อิมามมีเจ็ดช่วง และแต่ละช่วงเริ่มต้นด้วย นาฏิก หนึ่งคน ซึ่งจะนำหลักศาสนบัญญัติมาใหม่ และในแต่ละช่วงหลังจากนั้น จะมีอิมามเจ็ดคนขึ้นเป็นอิมาม [65]

ตามความเชื่อของอิสมาอีลียะฮ์ นาฏิกในช่วงหกช่วงแรกของการเป็นอิมามะฮ์ คือ บรรดาศาสดาอุลุลอัซม์ กล่าวคือ อาดัม นุฮ์ อิบรอฮีม มูซา อีซาและศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [66] มุฮัมมัด มักตูม บุตรชายของอิสมาอีล เป็นอิมามคนที่เจ็ดจากช่วงที่หกของการเป็นอิมามะฮ์ ซึ่งเริ่มต้นจากศาสดาของอิสลาม เขาเป็นมะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญาไว้ซึ่งเมื่อเขาจะลุกขึ้นต่อสู้ เขาจะเป็นนาฏิกช่วงที่เจ็ดของการเป็นอิมามะฮ์ (67) กล่าวได้ว่าคำสอนบางส่วนเหล่านี้ มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงสมัยฟาฏิมียะห์ [68]

พวกเขา ถือว่า คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของอิสมาอีลียะฮ์ คือ ความเป็นบาฏินียะฮ์ เพราะพวกเขาได้ตีความโองการอัลกุรอาน ฮะดีษ หลักคำสอน และหลักการปฏิบัติของอิสลามและใช้ความหมายที่ตรงกันข้ามกับภายนอกของสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเชื่อว่า โองการอัลกุรอานและฮะดีษ มีลักษณะทั้งภายนอกและภายใน ขณะที่อิมามรับรู้ถึงภายใน และปรัชญาของการเป็นอิมามะฮ์ คือ การสั่งสอนภายในของศาสนาและการอธิบายหลักคำสอนภายใน [69]

กอฎี นุอ์มาน ได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักนิติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสมาอีลียะฮ์[70] และหนังสือของเขา ดะอาอิมุลอิสลาม เป็นแหล่งนิติศาสตร์หลักของสำนักคิดนี้[70] อะบูฮาติม รอซี นาศิร คุซรู และกลุ่มที่เรียกว่า อิควานุศศอฟา ถือ เป็นนักคิดที่โดดเด่นของอิสมาอีลียะฮ์ เช่นกัน [71] ริซาละฮ์ของ อิควานุศศอฟา และ อะอ์ลามุนนะบูวะฮ์ เขียนโดย อะบูฮาติม รอซี เป็นหนึ่งในหนังสือปรัชญาที่สำคัญที่สุดของพวก เขา [72]

อิสมาอีลียะฮ์ในปัจจุบัน ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ออกอ คานีเยะฮ์ และโบห์รา ซึ่งเป็นสาขาที่คงเหลืออยู่จากกลุ่มฟาฏิมียะฮ์ของอียิปต์ทั้งสองสาขา ได้แก่ อันนิซารียูน และมุสตะอ์ลียะฮ์ [73] กลุ่มแรก มีประมาณหนึ่งล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และอิหร่าน (74) กลุ่มที่สอง มีประมาณห้าแสนคน มากกว่า 80% อาศัยอยู่ในอินเดีย [75]