การไม่เคยถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน
การไม่เคยถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน (ภาษาอาหรับ : سلامة القرآن من التحريف ) เป็นความเชื่อโดยทั่วไปของชาวมุสลิมและนิกายต่างๆของอิสลาม ซึ่งบนพื้นฐานนี้ อัลกุรอานที่มีอยู่ในหมู่ชาวมุสลิม เป็นอัลกุรอานฉบับเดียวกันกับที่ถูกประทานลงมาแก่ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และไม่มีการถูกบิดเบือนหรือปลอมแปลงแต่อย่างใด ชาวมุสลิมทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีสิ่งใดถูกเพิ่มเข้าไปในอัลกุรอานที่มีอยู่ในหมู่ชาวมุสลิม แต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการตัดทอนของอัลกุรอาน นักวิชาการชาวมุสลิมจำนวนไม่มากนักมีความเห็นว่า อัลกุรอานนั้นมีการตัดทอน หลักฐานของพวกเขา ก็คือ ริวายะฮ์กลุ่มหนึ่ง ที่กล่าวไว้ในบางแหล่งข้อมูลอ้างอิงสายฮะดีษของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์และชีอะฮ์ อย่างไรก็ตาม พวกวะฮ์ฮาบีบางคน ยังถือว่า คำกล่าวที่ว่า อัลกุรอานมีการถูกบิดเบือน เป็นการกระทำของชาวชีอะฮ์
ทัศนะมัชฮูร (ที่เป็นที่รู้จักกันส่วนมาก)ในหมู่นักวิชาการชาวชีอะฮ์ ก็คือ ไม่มีการบิดเบือนทั้งในแง่ของจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นหรือการตัดทอนในอัลกุรอาน ขณะที่อัลกุรอานที่มีอยู่ในหมู่ชาวมุสลิม ก็เป็นอัลกุรอานฉบับเดียวกันกับที่ถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า อัลกุรอานนั้นไม่ได้มีการบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติมหรือการตัดทอนแต่อย่างใด โดยพวกเขาได้อ้างอิงถึง อายะฮ์ฮิฟซ์ ฮะดีษษะเกาะลัยน์ และริวายะฮ์อื่นๆ ที่รายงานจากบรรดาอิมาม มะอ์ศูม (อ.)และเหตุผลทางสติปัญญา บรรดานักวิชาการชีอะฮ์ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ริวายะฮ์ต่างๆที่บ่งบอกถึงการมีการตัดทอน ซึ่งอ้างไว้ในบางแหล่งข้อมูลอะฮ์ลิสซุนนะฮ์และชีอะฮ์ มีการตรวจสอบจากสายรายงานและการบ่งชี้ และพวกเขามีความเห็นว่า การอ้างอิงริวายะฮ์เหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ถึงการเกิดการตัดทอนในอัลกุรอานได้
ผลงานหลายชิ้นได้ถูกประพันธ์ขึ้นโดยบรรดานักตัฟซีร ฟะกีฮ์ และนักค้นคว้าวิจัยอัลกุรอานชาวชีอะฮ์ เพื่อปฏิเสธการถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน ซึ่งบางส่วน มีดังนี้
บุรฮานรูชัน อัลบุรฮาน อะลา อะดะมิ ตะห์รีฟ อัลกุรอาน เขียนโดย มีรซา มะฮ์ดี บุรูญิรดี และ ศิยานะตุลกุรอาน มินัตตะห์รีฟ เขียนโดย มุฮัมมัดฮาดี มะอ์ริฟัต
ความหมายของตะห์รีฟและประเภทของมัน
ตะห์รีฟ หมายถึง การบิดเบือนและการเปลี่ยนแปลงของคำไปจากสภาพเดิมของมัน (๑) มีการกล่าวถึงบางประเภทของมัน (๒) ดังนี้ :
การบิดเบือนของคำ (ตะห์รีฟ ลัฟซี)
การเปลี่ยนแปลงของคำ มีหลายประเภทด้วยกันและประเภทที่สำคัญที่สุด คือ : [๓]
การบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติม : การบิดเบือนประเภทนี้มีเกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน หมายความว่า ส่วนหนึ่งของอัลกุรอานที่ขณะนี้ อยู่ในมือของชาวมุสลิม ไม่ใช่อัลกุรอานฉบับเดียวกันกับที่ถูกประทานลงมาแก่ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๔]
การบิดเบือนด้วยการตัดทอน :ซึ่งหมายความว่า อัลกุรอานที่มีกับชาวมุสลิม ไม่ได้รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกประทานลงมาแก่ศาสดา (ศ็อลฯ) [๕]
การบิดเบือนของความหมาย
วัตถุประสงค์ของการบิดเบือนของความหมายหรือเนื้อหา หมายถึง ผู้ที่ทำการบิดเบือนได้ให้ความหมายของคำพูดไปในทิศทางที่ตนเองนั้นต้องการและเบี่ยงเบนไปจากความหมายของผู้พูด (๖) กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การอธิบายและการตีความคำนั้น มีความแตกต่างจากความหมายที่ถูกเปิดเผย [๗]
ความหมายอื่นๆของการบิดเบือน
การไม่ถูกจัดเรียงซูเราะฮ์ตามลำดับของการประทาน (การบิดเบือนของสถานภาพ) การเปลี่ยนแปลงของคำหนึ่ง เป็นคำที่พ้องด้วยความหมาย (การบิดเบือนด้วยการเปลี่ยนแปลงคำ) และการอ่านอัลกุรอานที่ตรงกันข้ามกับการอ่านแบบทั่วไป (การบิดเบือนของการอ่าน) ถือเป็นการบิดเบือนประเภทอื่นๆ [๘]
ทัศนะของชาวมุสลิมเกี่ยวกับการบิดเบือนอัลกุรอาน
ซัยยิดอะบุลกอซิม คูอีย์ (มรณะ: ๑๓๗๑ สุริยคติอิหร่าน ) ได้กล่าวว่า เนื่องจากความจำเป็นของศาสนาและหลักฉันทามติของชาวมุสลิมทุกคน การบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติม กล่าวคือ การเพิ่มคำใดคำหนึ่งลงไปในอัลกุรอาน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในอัลกุรอาน [๙] ในหมู่นักวิชาการชาวมุสลิมมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการบิดเบือนด้วยการตัดทอน นั่นคือ การตัดออกของคำและวลีบางส่วนออกจากอัลกุรอาน นักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่เชื่อว่า การบิดเบือนประเภทนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในอัลกุรอาน แต่ในทางตรงกันข้าม มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่า สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น [๑๐]
ซัยยิดอะบุลกอซิม คูอีย์ เขียนไว้ในหนังสือ อัลบะยาน ฟีย์ ตัฟซีรอัลกุรอาน เกี่ยวกับการบิดเบือนด้วยความหมายของอัลกุรอาน ว่า ไม่มีข้อโต้แย้งในหมู่ชาวมุสลิมที่ว่า การบิดเบือนประเภทนี้นั้นเกิดขึ้นจริง และบางสำนักคิดที่ชั่วร้าย ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโองการของอัลกุรอานตามความคิดเห็นและมุมมองของพวกเขาและมีการเปลี่ยนแปลงความหมายอีกด้วย [๑๑]ในภาษาของหลักศาสนบัญญัติ การบิดเบือนประเภทนี้ เรียกว่า เป็นอรรถาธิบายด้วยการนำเสนอทัศนะของตนเองและเป็นการกระทำที่ต้องห้าม [๑๒]
ตามที่นักค้นคว้าวิจัยอัลกุรอานบางคนกล่าวไว้ว่า ความหมายอื่นๆ ของการบิดเบือน เช่น การเปลี่ยนแปลงของคำหนึ่ง เป็นคำที่พ้องความหมาย และการอ่านคำต่างๆในอัลกุรอานที่ตรงกันข้ามกับการอ่านแบบทั่วไป จะไม่ถูกพบในอัลกุรอานอีกด้วย [๑๓]
ทัศนะของชีอะฮ์เกี่ยวกับการบิดเบือนอัลกุรอาน
ทัศนะที่เป็นที่รู้จักกันส่วนมากในหมู่นักวิชาการชาวชีอะฮ์ คือ ไม่เพียงแต่เป็นการบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติมเท่านั้น แต่อัลกุรอานไม่ได้ถูกบิดเบือนด้วยการตัดทอน และอัลกุรอานที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ชาวมุสลิม ก็เป็นอัลกุรอานฉบับเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงประทานแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ.) (๑๔) เชคศอดูก เขียนไว้ในหนังสือ อัลอิอ์ติกอด ว่า ความเชื่อของชาวชีอะฮ์ คือ อัลกุรอานที่ประทานลงมาแก่ศาสดา (ศ็อลฯ) นั้นเหมือนกับอัลกุรอานที่อยู่ในมือของประชาชน และไม่มีอะไรที่มากไปกว่านั้น และบรรดาผู้ที่อ้างว่า อัลกุรอานที่ประทานลงมา นั้นเป็นมากกว่าอัลกุรอานที่มีอยู่ เป็นคำพูดที่มุสาอย่างยิ่ง [๑๕]
เชคฏูซีย์ เขียนในอารัมภบทของหนังสือ ตัฟซีร อัตติบยาน ว่า สิ่งที่ได้รับมาจากสำนักคิดอิมามียะฮ์ก็คือ ไม่มีการตัดทอนในอัลกุรอาน และริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เกี่ยวกับการตัดทอนของอัลกุรอาน เป็นรายงานเดียวที่ไม่นำความรู้มาให้และก็อย่าได้ให้ความสนใจกับมันเลย [๑๖]
มุฮัมมัดญะวาด บะลาฆี (มรณะ: ๑๓๕๒ ฮ.ศ.) ยังได้อ้างอิงรายงานจากมุฮักกิก กะเราะกี ในหนังสือ อาลาอุรเราะห์มานว่า : ริวายะฮ์ต่างๆที่อ้างถึงโดยผู้ที่กล่าวว่า อัลกุรอานยังมีการตัดทอน เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นมีความขัดแย้งกับเหตุผลของอัลกุรอาน ซุนนะฮฺมุตะวาติร และหลักฉันทามติ หากไม่มีความเป็นไปได้ในการตีความ ก็ควรที่จะละเว้นมันเสีย [๑๗]
กาชิฟุลฆิฏออ์ (มรณะ: 1228 ฮ.ศ.) เป็นหนึ่งในนักวิชาการและฟะกีฮ์ของชีอะฮ์ ที่ปฏิเสธการบิดเบือนของอัลกุรอาน ด้วยการมีการตัดทอน กล่าวว่า: ความชัดเจนของอัลกุรอานและหลักฉันทามติของบรรดานักวิชาการในทุกยุคทุกสมัย เป็นพยานยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้ว่า ไม่มีการตัดทอนในอัลกุรอานและความถูกต้องในการต่อต้านของบุคคลเพียงไม่กี่คน ความกระจ่างชัดของอัลกุรอานที่ไม่มีการบิดเบือน เขาได้ปฏิเสธการปฏิบัติตามรูปลักษณ์ภายนอกของริวายะฮ์ต่างๆที่บ่งบอกถึงการบิดเบือน [๑๘]
การอ้างถึงแนวคิดในการบิดเบือนอัลกุรอานไปยังชีอะฮ์
เฏาะบัรซี ได้เขียนไว้ในหนังสือ มัจญ์มะอุลบะยาน (มรณะ: 548 ฮ.ศ.)ว่า ชาวชีอะฮ์บางคนและกลุ่มฮัชวียะฮ์ (สำนักคิดหนึ่งของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่ใช้รูปลักษณ์ของฮะดีษเป็นหลักเกณฑ์) ได้กล่าวถึงริวายะฮ์ต่างๆโดยยึดตามการตัดทอนของอัลกุรอาน [๑๙] บรรดาผู้ที่กล่าวว่า โองการในอัลกุรอานมีการบิดเบือนและการตัดทอน ได้อ้างอิงถึงริวายะฮ์ที่ระบุไว้ในแหล่งข้อมูลสายฮะดีษของชีอะฮ์ [๒๐] และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์[๒๑] กล่าวกันว่า [๒๒] พวกอัคบารียูน จำนวนน้อย [๒๓] ซึ่งอาศัยริวายะฮ์เหล่านี้ เชื่อว่า มีการตัดทอนในอัลกุรอาน และอัลกุรอานที่มีอยู่กับชาวมุสลิม ไม่ใช่ทั้งหมดที่ได้ถูกประทานแก่ศาสดา (ศ็อลฯ.) (๒๔) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พวกวะฮ์ฮาบีบางคน ถือว่า ความเชื่อในการบิดเบือนนั้นมาจากชาวชีอะฮ์ทั้งหมด [๒๕]
ข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่มีการจัดพิมพ์หนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ ซึ่งประพันธ์ โดย มีรซาฮุเซน นูรี ในปี 1292 ฮ.ศ. [๒๖] และจนถึงทุกวันนี้ (ศตวรรษที่ ๑๕ ฮ.ศ.) ถือว่า เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงว่า การบิดเบือนมาจากชีอะฮ์ [๒๗]ตัวอย่างเช่น อิห์ซาน อิลาฮี เซาะฮีร นักเขียนชาววะฮ์ฮาบีจากปากีสถาน เขียนในหนังสือของเขาชื่อ ชีอะฮ์และอัลกุรอาน หลังจากอ้างอิงถึงหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบแล้ว ได้กล่าวถึงทัศนะของการบิดเบือน แม้กระทั่งการบิดเบือนด้วยการเพิ่มเติม ไปยังนักวิชาการของชีอะฮ์ทุกคน และเขาบอกว่า มีรซาฮุเซน นูรี ไม่ใช่คนเดียวที่เชื่อในการบิดเบือนของอัลกุรอาน และเขาได้เปิดเผยความคิดเห็นที่นักวิชาการชีอะฮ์คนอื่นๆ มีความเชื่อและถูกปกปิดด้วยหลักตะกียะฮ์ [๒๘]
คำตอบของบรรดานักวิชาการชีอะฮ์
มีรซามะฮ์ดี บุรูญิรดี (มรณะ: 1347 สุริยคติอิหร่าน) ฟะกีฮ์ชาวชีอะฮ์และหนึ่งในลูกศิษย์ของ เชคอับดุลกะรีม ฮาอิรี ยัซดี เขียนในหนังสือ บุรฮาน รูชัน อัลบุฮาน อะลา อะดะมิตะห์รีฟ อัลกุรอาน ว่า ส่วนมากของริวายะฮ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการบิดเบือนของอัลกุรอานที่พบเจอในหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบของ มีรซาฮุเซน นูรี มาจากหนังสือของ อะห์มัด บิน มุฮัมหมัด ซัยยารี[๒๙] อะบุลกอซิม คูอีย์ กล่าวว่า บรรดานักวิชาการด้านริญาล เชื่อว่า ซัยยารี เป็นผ็โกหกและมีความเห็นว่า เขามีความศรัทธาที่ไม่ถูกต้อง ( ๓๐)
ตามที่ ออกอ บุซุรก์ เตห์รอนี (มรณะ: ๑๓๘๙ ฮ.ศ.) เขียนในหนังสือ อัซซะรีอะฮ์ ว่า หนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ ได้ถูกต่อต้านโดยนักวิชาการชีอะฮ์ นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการจัดพิมพ์ (๓๑)กล่าวกันว่า มุฮัมมัดฮุเซน กาชิฟุลฆิฏออ์ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ร่วมสมัยของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ หลังจากที่เขาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ได้ออกฟัตวาฮะรอมในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ [๓๒]และผลงานหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นอิสระ [๓๓]หรือในบริบทของหัวข้อต่างๆก็ตาม และผลงานที่เกี่ยวข้องกับการอรรถาธิบายอัลกุรอาน [๓๔] เขียนโดยบรรดาฟะกีฮ์ของชีอะฮ์ นักตัฟซีร และนักค้นคว้าวิจัยอัลกุรอาน ในการปฏิเสธหนังสือเล่มนี้
ซัยยิดกะมาล ฮัยดะรี เขียนไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า อัลกุรอานและการป้องกันจากการถูกบิดเบือน ได้ระบุชื่อของบรรดานักตัฟซีร นักนิติศาสตร์ และนักค้นคว้าวิจัยอัลกุรอานที่มีชื่อเสียงของชีอะฮ์ จำนวน 32 คน ที่ได้ปฏิเสธการถูกบิดเบือนของอัลกุรอานด้วยการเพิ่มเติมหรือการมีการตัดทอน (๓๕)ในบทความหนึ่งชื่อว่า พวกฆอลีย์(สุดโต่ง)กับแนวคิดในการบิดเบือนของอัลกุรอาน ระบุว่า จากจำนวนริวายะฮ์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการบิดเบือนอัลกุรอานนั้นมีจำนวนมาก (เกือบสองในสาม) ที่รายงานจากพวกฆอลีย์ [๓๖]
เหตุผลของการไม่บิดเบือนของอัลกุรอาน
บรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลกุรอานไม่ได้ถูกบิดเบือนได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้เพื่อพิสูจน์ในคำพูดของพวกเขา :
อายะฮ์ ฮิฟซ์
บรรดานักตัฟซีร ให้ทัศนะว่า คำว่า ซิกร์ ในโองการ นะห์นุ นัซซัลนัซซิกร์ วะ อินนา ละฮู ละฮาฟิซูน หมายถึง อัลกุรอานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานลงมาแก่ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และพระองค์เอง จะเป็นผู้รับผิดชอบในการปกปักรักษามัน จากการถูกบิดเบือนไปไม่ว่าด้วยการเพิ่มเติมหรือการตัดทอน [๓๗]
ริวายะฮ์ต่างๆ
ในริวายะฮ์บางบท รายงานว่า อัลกุรอานไม่เคยถูกบิดเบือนเลย [๓๘] ฮะดีษ เษาะเกาะลัยน์ เป็นหนึ่งในริวายะฮ์ที่ได้รับการอ้างอิงถึงการพิสูจน์การไม่เคยถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน[๓๙] บนพื้นฐานของฮะดีษบทนี้ ซึ่งรายงานจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๔๐] มีความเป็นไปได้ที่จะยึดถืออัลกุรอานในทุกยุคทุกสมัย แม้ว่า ความศรัทธาในการบิดเบือนของอัลกุรอานนั้นจำเป็นที่จะต้องอาศัยความเป็นไปไม่ได้ในการยึดถืออัลกุรอาน และหากอัลกุรอานถูกบิดเบือน ก็ไม่จำเป็นที่ศาสดาจะสั่งให้ปฏิบัติตามการยึดถือนั้น (๔๑)นอกจากนี้ ในฮะดีษบางบท วิธีการหนึ่งในการแยกแยะฮะดีษที่เชื่อถือได้ออกจากฮะดีษที่เชื่อถือไม่ได้ คือ การนำเสนอต่ออัลกุรอาน [๔๒] และหากอัลกุรอานถูกบิดเบือน ฮะดีษต่างๆก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำสั่งให้นำเสนอต่ออัลกุรอาน [๔๓]
เชคศอดูก เขียนไว้ในหนังสือ อัลอิอ์ติกอด ว่า ริวายะฮ์ต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม มะอ์ศูม (อ.) เกี่ยวกับความประเสริฐของซูเราะฮ์ต่างๆ ผลรางวัลของการอ่านอัลกุรอาน และผลรางวัลของการอ่านแต่ละซูเราะฮ์ (๔๔) และเช่นเดียวกัน มีริวายะฮ์ต่างๆที่กล่าวถึงรางวัลของการเคาะตัมอัลกุรอาน [๔๕] ล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน [๔๖]
เหตุผลทางสติปัญญา
มีรซามะฮ์ดี บุรูญิรดี กล่าวว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้อ้างสิทธิ์ถึงสามครั้งหลังจากการบิอฺษัตของเขา ประการแรก เขาถูกแต่งตั้งสำหรับกลุ่มชนของมนุษย์ทั้งหมด ประการที่สอง หลักชะรีอะฮ์ในอดีตทั้งหมดถูกยกเลิก และต้องปฏิบัติตามหลักชารีอะฮ์ของเขา ประการที่สาม เขาเป็นศาสดาองค์สุดท้าย และหลังจากเขา จะมีการส่งศาสดาอีกเลย [๔๗]ตามบทเบื้องต้นเหล่านี้ สติปัญญากำหนดว่า อัลกุรอานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานลงมาแก่ศาสนทูต องค์สุดท้ายของพระองค์ เพื่อเป็นทางนำของมนุษยชาติ จนถึงวันกิยามัต จะต้องปราศจากการถูกบิดเบือนใดๆทั้งสิ้น [๔๘]
มีบางคนได้ให้เหตุผลด้วยการยึดถือกฏแห่งความการุณย์ที่ว่า การส่งบรรดาศาสนทูต และประทานพระคัมภีร์จากพระเจ้า เพื่อความผาสุกทั้งในโลกนี้และปรโลก ถือเป็นความการุณย์ของพระองค์ ขณะที่อัลกุรอานซึ่งเป็นพระคัมภีร์สุดท้ายสำหรับเป็นทางนำของมวลมนุษยชาติ ด้วยกฏแห่งความการุณย์ จะเห็นได้ว่า จะต้องไม่มีการเพิ่มเติมและการตัดทอนของอัลกุรอานและหากมีการเพิ่มเติมและการตัดทอน เท่ากับสิ่งที่ขัดแย้งกับกฏแห่งความการุณย์ (๔๙)
นักค้นคว้าวิจัยบางคนถือว่า การบิดเบือนของอัลกุรอาน มีความขัดแย้งกับคุณลักษณะวิทยปัญญาของพระเจ้า ตามความเชื่อของเขา เห็นว่า พระเจ้าทรงประทานอัลกุรอานเป็นคัมภีร์สุดท้ายสำหรับเป็นทางนำของผู้คน และหากมีข้อบกพร่องและการบิดเบือน จะชักพาผู้คนให้หลงทางและไม่สอดคล้องกับวิทยปัญญาของพระองค์ (๕๐) การยืนกรานของชีอะฮ์ที่เกี่ยวกับคำพูดในการบิดเบือนตามทัศนะบรรดานักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์
นักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางคน ได้ชี้แจงถึงการยืนกรานของชาวชีอะฮ์ที่เกี่ยวกับคำพูดในการบิดเบือนอัลกุรอาน (๕๑) ตัวอย่างเช่น อะบุลฮะซัน อัชอารี (มรณะ: ฮ.ศ. 324) ในหนังสือ มะกอลาตุลอิสลามียีน ถือว่า คำพูดในการตัดทอนของอัลกุรอานนั้นเป็นเพียงสำนักคิดเดียวของชาวชีอะฮ์เท่านั้น และเขากล่าวว่า ชาวชีอะฮ์บางคนที่ศรัทธาในอิมามัต (อิมามียะฮ์) มีความเห็นว่า ในอัลกุรอานไม่มีการเพิ่มเติมและการตัดทอน [๕๒]
เราะห์มะตุลลอฮ์ เดฮ์ละวี (มรณะ: ฮ.ศ.1308) นักวิชาการชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์จากประอินเดีย กล่าวไว้ในหนังสือของเขา อิซฮารุลฮัก ว่า อัลกุรอานได้รับการปกป้องจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในทัศนะส่วนใหญ่ของบรรดานักวิชาการของชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ และเพียงไม่กี่คนเท่านั้นได้กล่าวถึงมีการตัดทอนในอัลกุรอาน ซึ่งทัศนะของเขาได้ถูกปฏิเสธ[๕๓]
มุฮัมมัด อับดุลลอฮ์ ดัรรอซ (มรณะ: ค.ศ.๑๘๙๔) นักวิชาการและนักตัฟซีรชาวอียิปต์ เขียนในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า มัคค็อล อิลัลกุรอานอัลกะรีม โดยกล่าวถึง ทัศนะของเชคศอดูกที่เกี่ยวกับการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน ซึ่งบรรดาอิมามียะฮ์ เชื่อว่า ไม่มีการบิดเบือนใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเติมหรือการตัดทอน [๕๔] มุฮัมมัด มุฮัมมะดุลมะดะนี (มรณะ: ฮ.ศ. 1388) นักวิชาการชาวอียิปต์และเป็นหนึ่งในศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ในบทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร ริซาละตุลอิสลาม เขียนว่า ในหมู่นักวิชาการชาวชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ไม่มีผู้ใดเชื่อในการบิดเบือนของอัลกุรอาน [๕๕]
ตำราอ้างอิง
หนังสือ ศิยานะตุลกุรอาน มินัต ตะห์รีฟ ประพันธ์โดย มุฮัมมัดฮาดี มะอ์ริฟัต ตำราอ้างอิงที่เกี่ยวกับการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน เป็นหนังสือที่ทั้งหมด ๒๗๕ หน้าและรวบรวมผลงานเขียนมากกว่า ๕๐๐ ชิ้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน ซึ่งเรียบเรียงโดย กาซิม อุสตาดี และจัดพิมพ์ ในปี ๑๓๙๒ สุริยคติอิหร่าน โดยองค์กรฮัจญ์และการแสวงบุญ [๕๖] ผลงานที่สำคัญที่สุดบางชิ้นที่เขียนโดยนักวิชาการชาวชีอะฮ์ในเรื่องการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน มีดังนี้ :
หนังสือ กัชฟุอิรติยาบ อัน ตะห์รีฟ อัลกิตาบ เขียนโดย เชคมะห์มูด เตฮ์รอนี : กล่าวกันว่าเป็นผลงานชิ้นแรกที่เขียนหลังจากการตีพิมพ์ของหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ และเพื่อปฏิเสธผลงานดังกล่าว [๕๗] ออกอ บุซุรก์ เตฮ์รอนี กล่าวว่า เมื่อผู้เขียนหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ (มีรซาฮุเซน นูรี) ได้อ่านผลงานนี้ เขาได้เขียนบทความในภาษาฟาร์ซีในการปฏิเสธมันและสั่งให้ตีพิมพ์พร้อมกับหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ (๕๘) เขาได้กล่าวในริซาละฮ์นี้ว่า วัตถุประสงค์ของการบิดเบือน ไม่ใช่ในอัลกุรอานที่ขณะนี้อยู่กับบรรดามุสลิม ซึ่งถูกรวบรวมในยุคสมัยของอุษมาน มีการเพิ่มเติมหรือมีการตัดทอน แต่หมายความว่า ส่วนหนึ่งของวะฮ์ฮีย์ของพระเจ้า ที่ประทานแก่ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้สูญหายไปและไม่ได้บันทึกไว้ในอัลกุรอานที่มีอยู่ [๕๙]
บุรฮาน รูชัน อัลบุรฮาน อะลา อะดะมิ ตะห์รีฟ อัลกุรอาน ประพันธ์โดย มีรซามะฮ์ดี บุรูญิรดี: ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอเหตุผลที่ปฏิเสธการบิดเบือนของอัลกุรอาน [๖๐]นอกจากนี้ เขาได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ริวายะฮ์ต่างๆในหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ ที่ใช้ในการพิสูจน์การตัดทอนของอัลกุรอาน ทั้งในแง่ของสายรายงานและการบ่งชี้ [๖๑]ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นของบรรดานักตัฟซีรของชีอะฮ์ นักนิติศาสตร์ และนักค้นคว้าวิจัยอัลกุรอานมากกว่า ๔๐ คน ในการปฏิเสธการบิดเบือนของอัลกุรอานด้วยการเพิ่มเติมและการตัดทอน [๖๒]
ศิยานะตุลกุรอาน มินัต ตะห์รีฟ ประพันธ์โดย มุฮัมมัดฮาดี มะอ์ริฟัต : หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยแปดบทและรวมถึงหัวข้อเหล่านี้: คำนิยามทางภาษาและเชิงวิชาการของคำว่า ตะห์รีฟ เหตุผลของการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน ทัศนะของนักวิชาการชีอะฮ์บางคนที่เห็นด้วยกับการไม่ถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน หลักฐานยืนยันของผู้เชี่ยวชาญชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางคนเกี่ยวกับการยืนกรานของชีอะฮ์เกี่ยวกับคำพูดการบิดเบือนของอัลกุรอาน การบิดเบือนที่กล่าวถึงในหนังสือ สองพันธสัญญา การบิดเบือนในสำนักคิดฮัชวียะฮ์ การบิดเบือนในทัศนะอัคบารียูน และการวิจารณ์และวิเคราะห์ทัศนะของผู้เขียนหนังสือ ฟัศลุลคิฏอบ หนังสือเล่มนี้ ได้รับการแปลเป็นภาษาเปอร์เซียโดย อะลี นะศีรี กิลานี และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ซัมต์ ในปี ๑๓๗๙ สุริยคติอิหร่าน ด้วยชื่อว่า ตะห์รีฟ นอ พะซีรี กุรอาน (การไม่เคยถูกบิดเบือนของอัลกุรอาน) [๖๔]