ข้ามไปเนื้อหา

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน

จาก wikishia

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (ภาษาอาหรับ: قيام الإمام الحسين (ع)) (อ.) ถือเป็นการเคลื่อนไหวในการประท้วงของอิมามฮุเซน (อ.) เพื่อต่อต้านการปกครองของยะซีด บิน มูอาวียะฮ์ ซึ่งนำไปสู่การเป็นชะฮีดของเขาและบรรดาอัศฮาบของเขา ในวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ปี ๖๑ ฮ.ศ. และครอบครัวของเขาถูกจับตัวเป็นเชลยศึก การเคลื่อนไหวนี้ เริ่มต้นจากการที่อิมามฮุเซนปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันกับผู่ปกครองเมืองมะดีนะฮ์ในฐานะตัวแทนของยะซีด และเดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ในเดือนรอญับ ปีที่ ๖๐ ฮ.ศ. และจบลงด้วยการส่งตัวบรรดาเชลยศึกกลับไปยังเมืองมะดีนะฮ์ การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) นำไปสู่การลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบการปกครองของบะนีอุมัยยะฮ์และมีบทบาทในการล่มสลายของระบอบการปกครองนี้ ในทุกๆ ปี ชาวชีอะฮ์ จะจัดพิธีต่างๆ ในวันครบรอบของเหตุการณ์นี้ การแพร่กระจายของพิธีกรรมการไว้อาลัย การก่อตัวของวรรณกรรมอาชูรอ การก่อสร้างอาคารและสถานที่สำคัญทางศาสนา การผลิตผลงานด้านศิลปะ และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้กับการปกครองที่ฉ้อฉล เป็นผลพวงของเหตุการณ์นี้ที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมของชีอะฮ์ เป้าหมายหลักของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ตามที่ระบุไว้ในคำสั่งเสียของเขาต่อมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ คือ การนำสังคมอิสลามกลับสู่แนวทางที่ถูกต้องและการต่อสู้กับการบิดเบือน อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาล การถูกทำชะฮาดัต (การพลีชีพ) การรักษาชีวิต และการละเว้นจากการให้สัตยาบันกับยะซีด เป็นอีกเป้าหมายอื่นๆของเขา หลังจากการเขียนหนังสือ ชะฮีด ญาวีด และการกล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาล เป็นเป้าหมายหลักของอิมามฮุเซน (อ.) และการวิพากษ์วิจารณ์โดยนักเขียนชาวชีอะฮ์ การอภิปรายเป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ได้เข้าสู่การศึกษาเกี่ยวกับการค้นคว้าในประเด็นอาชูรอ และทฤษฎีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเด็นนี้ ซึ่งถือว่า การแสวงหาการพลีชีพสละและการจัดตั้งรัฐบาล เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขา

เหตุการณ์อาชูรอ

เหตุการณ์กัรบะลาอ์ หมายถึง เหตุการณ์ในการต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาอัศฮาบกับกองทัพของเมืองกูฟะฮ์ ในมุฮัรรอม ปีที่ ๖๑ ฮ.ศ.เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นหลังจากอิมามฮุเซน (อ.) ไม่ให้คำสัตยาบันกับยะซีด บิน มุอาวียะฮ์ นำไปสู่การเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาอัศฮาบ ตลอดจนการถูกจับเป็นเชลยศึกของครอบครัวของเขา ในเดือนรอญับ ปีที่ ๖๐ ฮ.ศ. อิมามฮุเซน (อ.) ได้เดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์พร้อมกับครอบครัวของเขาและบะนีฮาชิมกลุ่มหนึ่ง เพราะว่า เขาไม่ให้คำสัตยาบันกับผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮ์ และไปยังมักกะฮ์ [๑] และพำนักอยู่ในเมืองมักกะฮ์ประมาณสี่เดือน ในช่วงเวลานี้ จดหมายเชิญของชาวเมืองกูฟะฮ์ส่งถึงยังเขา [๒ ]ด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกเดินทางไปเมืองกูฟะฮ์ในวันที่ ๘ เดือนซุลฮิจญะฮ์ [๓] ก่อนที่ไปถึงเมืองกูฟะฮ์ เขาได้รับข่าวเกี่ยวกับการผิดสัญญาของชาวกูฟะฮ์ [๔] และหลังจากเขาเผชิญหน้ากับกองทัพทหารของฮุร อิบนุ ยาซีด อัรริยาฮี เขาจึงเดินทางไปยังกัรบะลาอ์ และที่นั่น เขาได้เผชิญหน้ากับกองทัพหนึ่งซึ่งอุบัยดิลลาฮ์ บิน ซิยาด ได้ส่งกองทัพยังเขา [๕] กองทัพทั้งสองได้ต่อสู้กันในวันที่ ๑๐ ของเดือนมุฮัรรอม (๖) หลังจากที่อิมามฮุเซนและเหล่าสาวกของเขาได้เป็นชะฮีด บรรดาครอบครัวของเขาก็ถูกจับตัวเป็นเชลยศึก [๗]

ปัจจัยของการลุกขึ้นต่อสู้

นักค้นคว้าวิจัยประวัติศาสตร์บางคน ถือว่า ความเบี่ยงเบนของสังคมอิสลาม อันเนื่องจากความเชื่อทางศาสนาและศีลธรรมของศาสนาอิสลาม เป็นปัจจัยหลักของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) [๘] เนื่องจากในช่วงสมัยราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์ ค่านิยมของยุคญาฮิลียะฮ์และชนเผ่าเข้ามามีอำนาจ [๙] และความแตกต่างของชนเผ่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแตกต่างระหว่างเผ่าบะนีฮาชิม และ บะนีอุมัยยะฮ์ [๑๐] ได้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง นอกจากนี้ การที่มุอาวียะฮ์แนะนำยะซีดในฐานะเป็นคอลีฟะฮ์ (กาหลิบ) และการยืนกรานของยะซีดในการเอาคำสัตยาบันจากอิมามฮุเซน (อ.) ก็เป็นอีกสาเหตุและมูลเหตุอื่นๆ ของการลุกขึ้นต่อสู้ครั้งนี้ อิมามฮุเซน (อ.) ไม่ถือว่า ยะซีดคู่ควรกับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ และถือว่า การแนะนำตัวเขาเป็นกาหลิบที่ขัดแย้งต่อสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอิมามฮะซันกับมุอาวียะฮ์ เนื่องจากระบุไว้ในสนธิสัญญาสันติภาพว่า มุอาวียะฮ์ไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งสำหรับตัวเขาเอง [๑๑]

เป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้

มีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซนในการลุกขึ้นต่อสู้ยะซีด ตามที่อิสฟันดิยารีกล่าวว่า ประเด็นเกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซนเริ่มมีความจริงจังขึ้นเมื่อหนังสือ ชะฮีด ญาวีด ถูกเขียนขึ้น [๑๒] เขาเชื่อว่า มีความสับสนระหว่างเป้าหมายและแบบแผนของอิมามฮุเซน ดังนั้น เขาจึงอ้างถึงแบบแผนของอิมามฮุเซนในการบรรลุเป้าหมายของเขา เป็นเป้าหมายรอง และได้รวบรวมทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เจ็ดประการ [๑๓] เป้าหมายบางส่วนที่เสนอสำหรับการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน ได้แก่ การรักษาศาสนา การกำชับในความดีและห้ามปรามความชั่ว การรักษาชีวิต การจัดตั้งการปกครอง และการเป็นชะฮีด

การกำชับในความดีและห้ามปรามความชั่ว (การรักษาศาสนาและซุนนะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด)

ตามที่ มุฮัมมัด อิสฟันดิยารี นักค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ (เกิดในปี ๑๓๓๘ สุริยคติอิหร่าน) ในหนังสือ อาชูรอศึกษา ระบุว่า เป้าหมายหลักของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) และการการลุกขึ้นต่อสู้ในวันอาชูรอ คือ การเรียกร้องสิทธิ การกำชับในความดีและห้ามปรามในการกระทำความชั่วร้าย การฟื้นฟูซุนนะฮ์และทำลายบิดอะฮ์ [๑๔] นอกจากนี้ อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) คือ การทำให้สังคมอิสลามกลับคืนสู่แนวทางที่ถูกต้องและการต่อสู้กับความเบี่ยงเบนที่ใหญ่หลวง [๑๕] ตามความเชื่อของเขา ระบุว่า มีการสับสนกันระหว่างเป้าหมายกับผลลัพท์ เพราะว่า ผลลัพธ์ของเป้าหมายนี้ คือ การจัดตั้งรัฐบาลหรือการถูกทำชะฮาดัต ในขณะที่บางคนถือว่า เป้าหมายทั้งสองนั้น เป็นเป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) ทั้งสิ้น [๑๖]

อายะตุลลอฮ์ ญะวาดี อามุลี หนึ่งในมัรญิอ์ตักลีดของชีอะฮ์ เชื่อว่า สิ่งแรกที่เหล่าศัตรูกระทำหลังจากศาสดามุฮัมมัด คือ การยึดคัมภีร์อัลกุรอานและศาสนา เพื่อตีความและนำเสนอตามอำเภอใจและความปรารถนาของพวกเขา เนื่องจากเลือดของประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลดปล่อยคัมภีร์อัลกุรอานและศาสนาจากการถูกจองจำได้ ฮุเซน บิน อะลี (อ.) จึงเปลี่ยนความเขลาให้กลายเป็นสติปัญญาและการให้เหตุผลแห่งวะฮ์ฮีย์ ด้วยเลือดของเขา และช่วยรักษาแก่นแท้ของศาสนาไว้จากการทำลายล้าง [๑๗]

และแท้จริงฉันไม่ได้ลุกขึ้นต่อสู้อย่างผู้ละเมิด ผู้ชั่วร้าย ผู้สร้างความเสียหาย และผู้กดขี่ และอันที่จริง ฉันลุกขึ้นต่อสู้เพื่อต้องการที่จะปฏิรูปในประชาชาติของตาของฉัน ฉันต้องการที่จะกำชับด้วยความดีและห้ามปรามความชั่วร้าย และฉันต้องการดำเนินตามวิถีของบิดาของฉัน อะลี บิน อะบีฏอลิบ (อ.) [๑๘]

อิสฟันดิยารี ได้เขียนว่า ประเด็นที่เกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) ถือเป็นประเด็นที่มีความจริงจัง จนกระทั่ง มีการเขียนหนังสือ ชะฮีด ญอวีด ขึ้นมา [๑๙] โดยเขานั้นเชื่อว่า มีความสับสนกันระหว่างเป้าหมายกับแบบแผนของอิมามฮุเซน (อ.) ด้วยเหตุนี้เอง จากแบบแผนของอิมามฮุเซน นำไปสู่เป้าหมายของเขา ในฐานะที่เป็นเป้าหมายในระดับที่สอง และในประเด็นมี เจ็ดทัศนะ ด้วยกัน [๒๐]

การปฏิเสธให้สัตยาบันและการรักษาชีวิต

ตามทัศนะนี้ ระบุว่า การเคลื่อนไหวของอิมามฮุเซน (อ.) เริ่มจากเมืองมะดีนะฮ์ มายังมักกะฮ์ และจากที่นั้น ไปยังเมืองกูฟะฮ์ โดยที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการลุกขึ้นต่อสู้ แต่ทว่า เพื่อการป้องกันและการต่อต้าน เพราะว่า เขาได้ปฏิเสธที่จะให้คำสัตยาบันกับยะซีด ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงถือว่า จะเกิดอันตรายกับชีวิตของเขา และเพื่อรักษาชีวิตของเขา เขา จะต้องเดินทางออกจากเมืองมะดีนะฮ์ หลังจากนั้น เขาก็ออกจากเมืองมักกะฮ์ (๒๑) อะลี พะนาฮ์ อิชติฮาดีย์ (๒๒) และ มุฮัมมัด ศิฮะตีย์ ซัรดุรูดี (๒๓) คือ ผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อทัศนะนี้

สิ่งที่จำเป็นในการยอมรับทัศนะนี้ คือ การไม่สร้างวีรกรรมและการลดบทบาททางบุคลิกภาพและสถานภาพของอิมามฮุเซน (๒๔)

การสถาปนาระบอบการปกครอง

จากทัศนะนี้ แสดงให้เห็นว่า อิมามฮุเซน (อ.)ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบการปกครอง นิอ์มะตุลลอฮ์ ศอลิฮี นะญัฟอาบาดี (๑๓๐๘-๑๓๘๕ สุริยคติอิหร่าน) เขียนไว้ในหนังสือของเขา ชะฮีด ญอวีด ว่า เป้าหมายประการแรกของอิมามฮุเซน (อ.) ในการลุกขึ้นต่อสู้ คือ การสถาปนาระบอบการปกครอง [๒๕] เขายังเชื่อว่า ซัยยิดมุรตะฎอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดานักเทววิทยาของชีอะฮ์ ก็มีทัศนะเช่นเดียวกัน ตามคำกล่าวของซัยยิดมุรตะฎอ ระบุว่า หลังจากที่อิมามฮุเซน (อ.) ได้เห็นถึงการยืนกรานของชาวกูฟะฮ์ และศักยภาพของพวกเขา อีกทั้งความอ่อนแอของการปกครอง เขาจึงตอบรับคำเชิญของพวกเขา [๒๖] เขายังเชื่อว่า มีเหตุผลต่างๆที่ทำให้อิมามฮุเซน (อ.) ได้รับชัยชนะ แต่ทว่า เหตุการณ์หลังจากนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คาดไว้ เมื่อเวลาที่ชาวกูฟะฮ์นั้นไม่รักษาสัญญา อิมามฮุเซน (อ.) จึงตัดสินใจกลับและยุติความขัดแย้ง เช่นเดียวกับอิมามฮะซัน (อ.)ได้กระทำ แต่การยุติสงครามไม่ได้รับการยอมรับจากเขา [๒๗] กล่าวได้ว่า ทัศนะนี้ไม่เข้ากันกับการมีความรู้ในสิ่งที่เร้นลับของอิมาม เพราะว่า สิ่งที่จำเป็นก็คือ อิมามฮุเซน (อ.) ไม่รู้ว่าจะได้รับชัยชนะหรือไม่ แต่คำตอบ กล่าวได้ว่า อิมามฮุเซน (อ.) มีความรู้ในการได้รับชะฮีดและรู้ด้วยว่า จะไม่มีทางได้รับชัยชนะ แต่ทว่าเขาจะต้องกระทำเพราะว่า นี่เป็นหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามความรู้ทั่วไป [๒๘]

การเป็นชะฮีด

บางคนเชื่อว่า เป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) คือ การเป็นชะฮีด แน่นอนว่า มีการตีความที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับประเด็นของการเป็นชะฮีด ดังนี้ :

  • การเป็นชะฮีดทางการเมือง: ตามทฤษฎีนี้ ระบุว่า การเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.)มุ่งเป้าไปที่การปฏิเสธความชอบธรรมในการปกครองของยะซีดและกอบกู้ศาสนาอิสลาม(๒๙) และด้วยการดำเนินการนี้ เขาได้ทำให้ประชาชนต่อต้านระบอบการปกครอง [๓๐] ตามคำกล่าวของมูฮัมหมัด อิสฟันดิยารี นี่เป็นทฤษฎีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากมาย (๓๑) อะลี ชะรีอะตี มีรซา คอลีล กุมเรอี มุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮะรี ,ซัยยิดริฎอ ศ็อดร์ ,ญะลาลุดดีน ฟาร์ซี ซัยยิดมุฮ์ซิน อะมีน ฮาชิม มะอ์รูฟ อัล-ฮะซะนี, อายะตุลลอฮ์ ศอฟี ฆุลพัยกานี และมูฮัมหมัด ญะวาด มูฆ์นียะฮ์ ล้วนอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อในทฤษฎีนี้ (๓๑)
  • การเป็นชะฮีดเพื่อชำระล้างบาป : บางคนมีความเชื่อว่า อิมามฮุเซน (อ.) เป็นชะฮีด เพื่อที่จะทำให้ผู้ที่กระทำบาปต่างๆได้รับการอนุเคราะห์ และนำพวกเขาไปสู่ระดับต่างๆทางจิตวิญญาณ(๓๒) เช่นเดียวกับในศาสนาคริสต์ ที่บางคนมีมุมมองเช่นนี้เกี่ยวกับการถูกสังหารพระเยซู (อ.) [๓๓] ชารีฟ ฏอบาฏอบาอี มุลลา มะฮ์ดี นะรอกี, มุลลา อับดุรเราะฮีม อิสฟาฮานี เป็นผู้ที่มีความเชื่อในทฤษฎีนี้ด้วย (๓๔) นอกจากนี้ ทัศนะของบางคนมีความเชื่อว่า อิมามฮุเซน (อ.) ถูกสังหาร เพื่อให้มีการร้องไห้กับเขา และนี่เป็นสื่อที่จะชี้นำเขาไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง[๓๕]
  • การเป็นชะฮีดเชิงรหัสยะ : บนพื้นฐานของทัศนะนี้ อิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อที่จะได้สัมผัสถึงความโปรดปรานในการเป็นชะฮีด [๓๖] และบุคคลอื่น ๆ (เหล่ามิตรสหายของเขา) ก็จะได้รับความโปรดปรานนี้ด้วยเช่นกัน [๓๗] ในการตีความนี้ ไม่มีการพูดถึงการต่อสู้ แต่เป็นการตีความถึงการต่อต้านการเมืองจากการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) [๓๘] ซัยยิดอิบนุฏอวูซ ฟาฎิล ดัรบันดี ศอฟี อะลีชาห์ อุมาน ซามานี และนัยยิร ตับรีซี เป็นผู้ที่นำเสนอการตีความทางรหัสยะจากการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) [๓๙]
  • การเป็นชะฮีดตามพระบัญชา : บางคนถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) เป็นเรื่องลี้ลับ ซึ่งเขาได้รับพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นชะฮีด แต่เป้าหมายของมันยังไม่ชัดเจนสำหรับมนุษยชาติ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทราบถึงเป้าหมายของมัน [๔๐] ในการวิพากษ์วิจารณ์ของทฤษฎีการเป็นชะฮีด กล่าวได้ว่า ทฤษฎีนี้ไม่สอดคล้องกับรายงานทางประวัติศาสตร์ที่อิมามฮุเซน (อ.) ได้ปกป้องชีวิตของเขาและเขาไม่ต้องการให้มีการสังหารเขา[๔๑]

การปกครองและการเป็นชะฮีด

บางคนเชื่อว่า เป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) คือ การลุกขึ้นต่อสู้ ที่การผสมผสานระหว่างการปกครองและการเป็นชะฮีด ฉะนั้น ในทัศนะของกลุ่มนี้เชื่อว่า อิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบการปกครอง แต่เนื่องจากเขาไม่มีผู้ที่ช่วยเหลือและสิ้นหวังจากการช่วยเหลือ เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการชะฮีด [๔๒] บางคนยังเชื่อว่า เป้าหมายทางการเมือมีแผนการสี่ขั้นตอน ขั้นตอนแรก คือ ช่วงเวลาของการเดินทางจากเมืองมะดีนะฮ์ไปยังมักกะฮ์ ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ การประท้วงการปกครองของยะซีด ขั้นตอนที่สอง คือ ตั้งแต่การตัดสินใจไปยังเมืองกูฟะฮ์ไปจนถึงการเผชิญหน้ากับกองทัพของฮูร ซึ่งตั้งใจที่จะยึดเมืองกูฟะฮ์และอิรัก ขั้นตอนที่สาม คือ เริ่มจากเวลาเผชิญหน้ากับกองทัพของฮูร จนถึงการเผชิญหน้ากับกองทัพของกูฟะฮ์ เมื่อเขาคิดจะหนีออกจากเงื้อมมือของอิบนุ ซิยาด และขั้นตอนที่สี่ คือ การเผชิญหน้ากับกองทัพของกูฟะฮ์ เมื่อเขาเลือกที่จะเป็นชะฮีด [๔๓]

การรวมกันของเป้าหมายที่แตกต่างกัน

อายะตุลลอฮ์ มะการิม ชิรอซี เชื่อว่า การใช้คำพูดของอิมามฮุเซนและการซิยาเราะฮ์เขา สามารถที่กล่าวถึงเป้าหมายทั้งสิบประการ สำหรับการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ได้ [๔๔] เป้าหมายทั้งสิบประการ มีดังนี้ : การปฏิรูปสังคมอิสลามและประชาชาติของศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อลฯ) (๔๕) การส่งเสริมให้กระทำความดีและการห้ามปรามความชั่ว (๔๖) การฟื้นฟูซุนนะฮฺของศาสดา (ศ็อลฯ) และการกำจัดสิ่งนอกรีต (บิดอะฮ์) (๔๗) การสนับสนุนความจริงและการต่อสู้กับความเท็จ (๔๘) การต่อสู้กับความเขลาและการรอดพ้นของประชาชนจากการหลงทาง [๔๙] การจัดตั้งระบอบการปกครองแบบอิสลาม [๕๐] การบริหารความยุติธรรมและการป้องกันการกดขี่ [๕๑] การเปิดโปงภาพลักษณ์ของพวกกลับกลอก (มุนาฟิก) [๕๒] การทดสอบของบรรดามุสลิมอย่างกว้างขวาง [๕๓] และสถานภาพการให้การอนุเคราะห์ (ชะฟาอะฮ์) [๕๔]

ผลกระทบและผลลัพท์

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน นำไปสู่ผลลัพท์ต่างๆ บางส่วนได้แก่:

การฟื้นฟูศาสนาอิสลามและซุนนะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)

ผู้เขียนบางคน ถือว่า ผลสะท้อนที่สำคัญที่สุดของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) และการเป็นชะฮีดของเขา คือ การฟื้นฟูศาสนาอิสลาม ตามที่อิมามโคมัยนีเคยกล่าวไว้ว่า หากเหตุการณ์กัรบะลาอ์ไม่ได้เกิดขึ้น ยะซีด บิน มุอาวียะฮ์ จะเปลี่ยนแปลงศาสนาอิสลามและซุนนะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ให้กลับหัวกลับหาง [๕๕]

การก่อตัวของขบวนการประท้วงต่อต้านการปกครองระบอบบะนีอุมัยยะฮ์

หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) ขบวนการประท้วงต่อต้านบะนีอุมัยยะฮ์ได้ก่อตัวขึ้น ตามรายงานจากหนังสือตารีคเฏาะบะรี ระบุว่า การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อต่อต้านบะนีอุมัยยะฮ์เริ่มขึ้นในปีที่ ๖๑ ฮ.ศ. หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) กลุ่มผู้คนมักจะใช้มาตรการเพื่อแก้แค้นให้เขามาโดยตลอด [๕๖] การประท้วงครั้งแรก คือ การเผชิญหน้าของอับดุลลอฮ์ บิน อะฟีฟ อัซดี กับอิบนุ ซิยาด เขาได้ประท้วงต่อต้านการปราศรัยของอิบนุ ซิยาด ในมัสญิดกูฟะฮ์ ซึ่งบอกว่า อิมามฮุเซน เป็นคนโกหก และเขาเรียกอิบนุซิยาด และพ่อของเขาว่า เป็นผู้โกหก (๕๗) นอกจากนี้ ตามรายงานในประวัติศาสตร์ของซีสตาน ชาวซีสตานก็ได้ยินเสียงเช่นเดียวกันเกี่ยวกับข่าวการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) ในการต่อต้านผู้ปกครองเมืองซีสตาน ซึ่งเป็นน้องชายของอุบัยดิลลาฮ์ บิน ซิยาด (๕๘) ประชาชนชาวเมืองมะดีนะฮ์ ได้ลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของยะซีด บิน มุอาวียะฮ์ ภายใต้การนำของ อับดุลลอฮ์ บิน ฮันเซาะละฮ์ บิน อะบีอามิร ในปีฮิจญ์เราะฮ์ที่ ๖๓ [๕๙] อะลี บิน ฮุเซน มัสอูดี นักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ ๔ ถือว่า การสังหารอิมามฮุเซน (อ.) เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติของประชาชนชาวเมืองมะดีนะฮ์ [๖๐]

กิยาม เตาวาบีน

กิยาม เตาวาบีน เกิดขึ้นในฮิจเราะฮ์ศักราชที่ ๖๕ หลังจากเหตุการณ์อาชูรอ โดยที่มีเป้าหมายเพื่อชำระหนี้เลือดของอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาชะฮีดแห่งกัรบะลา ภายใต้การเป็นผู้นำของสุไลมาน บิน ศ็อรด์ เคาะซาอี (๖๑) เมื่อกองทัพของเตาวาบีนเดินทางมาถึงกัรบะลาอ์ พวกเขาได้ลงจากหลังม้า และร้องไห้ ณ หลุมศพของอิมาม (อ.) และรวมตัวกันอย่างกระตือรือร้น [๖๒] สุไลมานกล่าวในหมู่พวกเขาว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงเป็นสักขีพยานว่า เราสนับสนุนศาสนา และแนวทางของฮุเซน (อ.) และเป็นศัตรูกับเหล่าฆาตกรของเขา (๖๓)

กิยาม มุคตาร

ในปี ฮ.ศ. ๖๖ มุคตาร ษะเกาะฟีได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อชำระหนี้เลือดให้อิมามฮุเซน (อ.) และชาวชีอะฮ์แห่งเมืองกูฟะฮ์ ก็เข้าร่วมกับเขา [๖๔] ในการลุกขึ้นต่อสู้ของเขา เขาใช้คำขวัญทั้งสองคำ: ยาละษารอติลฮุเซน หรือ มันศูรุ อะมิต (๖๕) ในการลุกขึ้นต่อสู้ครั้งนี้ ผู้ก่อเหตุเหตุการณ์กัรบะลาอ์หลายคน รวมทั้ง อุบัยดิลลาฮ์ บิน ซิยาด อุมัร บิน ซะอ์ด ชิมร์ บิน ซิลเญาชัย และคูลี ได้ถูกสังหาร (๖๖)

กิยาม ซัยด์ บิน อะลี

กิยาม ซัยด์ บิน อะลี เป็นการลุกขึ้นต่อสู้ของซัยด์ บิน อะลี บิน ฮุเซน เพื่อต่อต้านระบอบการปกครองของบะนีอุมัยยะฮ์ ซัยด์ด้วยการให้บัยอะฮ์ (สัตยาบัน) ของชาวเมืองกูฟะฮ์จำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันคนในปี ฮ.ศ. ๑๒๒ ซัยด์จึงต่อต้านฮิชาม บิน อับดุลมะลิก คอลีฟะห์แห่งบะนีอุมัยยะฮ์ เชคมุฟีดหนึ่งในนักวิชาการชีอะฮ์ ได้ถือว่า แรงจูงใจหลักของซัยด์ บิน อะลี สำหรับการลุกขึ้นต่อสู้ต่อต้านระบอบการปกครองของบะนีอุมัยยะฮ์ เป็นการชำระหนี้เลือดของอิมามฮุเซน (อ.)[๖๗]

ผลของการลุกขึ้นต่อสู้แห่งกัรบะลาอ์ต่อการล่มสลายของบะนีอุมัยยะฮ์

การลุกขึ้นต่อสู้แห่งกัรบะลา มีผลต่อการล่มสลายของบะนีอุมัยยะฮ์ เพราะว่า ประชาชนมองว่า บะนีอุมัยยะฮ์ เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์กัรบะลาอ์ อิมามฮุเซน (อ.) ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของเขาในการต่อต้านระบอบการปกครองของยะซีด โดยเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับการปกครองของยะซีดและบะนีอุมัยยะฮ์ ด้วยสำนวนต่างๆ เช่น เยี่ยงฉัน และอิสลามได้สิ้นสุดลง การกล่าวการเล่นกับสุนัข การดื่มสุราของยะซีด (๖๘)

บะนีอับบาซียะฮ์ ยังระบุด้วยว่า สาเหตุหลักประการหนึ่งของการลุกขึ้นต่อสู้ในการต่อต้านบะนีอุมัยยะฮ์ คือ การชำระหนี้เลือดของอิมามฮุเซน (อ.) [๖๙]

ผลลัพท์ของการลุกขึ้นต่อสู้แห่งกัรบะลาอ์ที่มีต่อสังคมชีอะฮ์

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซนมีผลลัพท์ต่อสังคมชีอะฮ์ [๗๐] เช่น :

การเสริมสร้างจิตวิญญาณต่อต้านการกดขี่

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) มีบทบาทในการก่อตัวของการมีจิตวิญญาณแห่งการต่อต้านการกดขี่ และการต่อสู้ของบรรดาชีอะฮ์กับระบอบการปกครองที่กดขี่ในยุคสมัยต่างๆ ผู้เขียนบางคน ถือว่า ขบวนการปฏิรูปและการปฏิวัติของประชาชน เช่น การปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการลุกขึ้นต่อสู้ครั้งนี้ [๗๑] อิมามโคมัยนีเชื่อว่า ประโยคที่ว่า ทุกวันคือ อาชูรอ เป็นการแสดงออกถึงความจำเป็นของการต่อสู้กับการกดขี่อย่างต่อเนื่อง (๗๒)

มหาตมะ คานธี ผู้นำเอกราชของอินเดีย ข้าพเจ้าได้อ่านชีวประวัติของอิมามฮุเซน (อ.) ผู้เป็นชะฮีด ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสลามอย่างละเอียดถี่ถ้วน และข้าพเจ้าได้ให้ความสนใจกับหน้าต่างๆ ของกัรบะลาอ์อย่างเพียงพอ และเป็นที่ชัดเจนว่า หากอินเดียต้องการเป็นประเทศที่ได้รับชัยชนะ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามแบบอย่างของอิมามฮุเซน (อ.) (๗๓)

พิธีกรรมในการไว้อาลัยที่แพร่หลาย

การจัดพิธีการไว้อาลัยและการแสดงความโศกเศร้าให้กับอิมามฮุเซน (อ และผู้เป็นชะฮีดแห่งกัรบะลาอ์ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่หล่อหลอมสังคมและอัตลักษณ์ของชาวชีอะฮ์ [๗๔] ตามรายงานทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า การไว้อาลัยมีการแพร่หลายในหมู่ชาวชีอะฮ์ หลังจากเหตุการณ์กัรบะลาเกิดขึ้นได้ไม่นานนัก และด้วยการเน้นย้ำของบรรดาอิมามของชีอะฮ์ แต่กลายเป็นการปฏิบัติส่วนบุคคล และจำกัดอยู่เพียงพิธีกรรมทางสังคมและสาธารณะ อันเป็นผลมาจากการปกครองของราชวงศ์อาลิบูเยะฮ์ (๗๕) ตามรายงานของอิบนุ กะษีร ระบุว่า บรรดาชีอะฮ์ในปี ๓๕๙ ฮ.ศ. ได้ปิดทำการหยุดการค้าขายในวันอาชูรอ และพวกเขาทำการไว้อาลัย [๗๖] การไว้อาลัยให้กับอิมามฮุเซน (อ.) มีการแพร่หลายในหมู่ชาวชีอะฮ์ในประเทศต่างๆด้วยการให้อาหารและนัศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบวันแรกของเดือนมุฮัรรอม (๗๗)

การก่อตัวของวรรณกรรมแห่งอาชูรอ

เหตุการณ์อาชูรอ ทำให้วรรณกรรมอาหรับกลายบทกวีแห่งอาชูรอและการขับลำนำอาชูรอ กวีภาษาอาหรับคนแรกที่เขียนบทกวีเกี่ยวกับเหตุการณ์อาชูรอ คือ อุกบะฮ์ บิน อัมร์ ซะฮ์มี [๗๘] อับดุลญะลีล ก็อซวีนี รอซี ได้บรรยายถึงบทกวีของกวีฮะนะฟีและชาฟิอีเกี่ยวกับอิมามฮุเซน (อ.) ว่า ไม่สามารถนับได้ [๗๙] ตามการบันทึกสารานุกรมบทกวีอาชูรอ การเขียนบทกวีเปอร์เซียในการไว้อาลัยอิมามฮุเซน (อ และเหตุการณ์กัรบะลา เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ ๔ ฮ.ศ. และบทกวีไว้อาลัยบทแรกโดย กะซาอี มะรูซี (เสียชีวิตในปี ๓๙๐ ฮ.ศ.) [๘๐] ในช่วงยุคสมัยซะฟาวียะฮ์ในอิหร่าน ส่วนสำคัญของกวีนิพนธ์เปอร์เซียเกี่ยวกับเหตุการณ์อาชูรอ [๘๑] ผู้เขียนหนังสือสารานุกรมกวีนิพนธ์อาชูรอ ได้รวบรวมรายชื่อกวี 345 คนพร้อมกับบทกลอนบางบทของพวกเขาที่เกี่ยวกับอิมามฮุเซน (อ.)

การแพร่กระจายของการบันทึกมักตัล

การบันทึกมักตัล เป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการสังหารหรือการเป็นชะฮีดของบุคคลสำคัญ หนังสือมักตัล ซึ่งอธิบายถึงการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาสหายของเขา ถือเป็นมรดกทางวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ ซึ่งมีผลงานเขียนได้ขยายวงกว้างออกไปหลังเหตุการณ์อาชูรอ การบันทึกมักตัลในบรรดาชีอะห์ สำหรับการอธิบายถึงการเป็นชะฮีดของบรรดาอิมาม มะอ์ศูม (อ.) และบุคคลที่โดดเด่นของชีอะฮ์ แต่ทว่าเนื่องจากมีการแพร่หลายการบันทึกมักตัลเกี่ยวกับเหตุการณ์กัรบะลาอ์ การใช้คำศัพท์นี้จึงถูกสงวนไว้สำหรับการรายงานเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน (อ.) และเหล่าสหายของเขาเพียงเท่านั้น

การก่อสร้างสถานที่อันพิเศษ

บรรดาชีอะฮ์ได้ก่อสร้างสถานที่พิเศษ เช่น ฮุซัยนียะฮ์ ตะกียะฮ์ และอิมามบาระฮ์ เพื่อเป็นสถานที่สำหรับการไว้อาลัยอิมามฮุเซน (อ.) มีการจัดพิธีไว้อาลัย ในสถานที่เหล่านี้ นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ของอินเดีย มีสถานที่ซิยาเราะฮ์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของหลุมศพของบรรดาชะฮีดแห่งกัรบะลาอ์และฮะร็อมของอิมามฮุเซน (อ.) หรือ ฮะร็อมของท่านอับบาส (อ.) และมีการอ่านบทซิยาเราะฮ์ในสถานที่เหล่านี้ (๘๓)

ผลงานศิลปะ

การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ส่งผลทางด้านศิลปะทางศาสนาของมัซฮับชีอะฮ์ และมีการผลิตผลงานต่างๆอย่างมากมาย รวมถึงภาพวาด การเขียนรูปลักษณ์ การประดิษฐ์ตัวอักษร ภาพยนตร์ ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์ของอาชูรอ[๘๔]

ทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์

นักเขียนชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ไม่ได้มีวิสัยทัศน์อันเดียวกันในขบวนการเคลื่อนไหวของอิมามฮุเซน (อ) บางคน เช่น อะบูบักร์ อิบนุ อะรอบี เขาถือว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบธรรมเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย [๘๕] อิบนุ ตัยมียะฮ์ เชื่อว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ถึงแม้ว่า อิมามจะเป็นชะฮีดอย่างไม่ยุติธรรมก็ตาม แต่ภารกิจของอิมามยังขาดความเหมาะสมทางโลกนี้และโลกหน้า และเขาได้แนะนำว่า การลุกขึ้นต่อสู้ในวันอาชูรอ อันเป็นสาเหตุของการก่อฟิตนะฮ์หลายครั้งในประชาชาติอิสลาม และมีความขัดแย้งกับวิถีของศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (๘๖) ฮะมีด กล่าวว่า ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากยุคสมัยของซัยยิดญะมาลุดดีน อะซัดออบอดี มุมมองของนักเขียนชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ในเหตุการณ์อาชูรอจึงมีการเปลี่ยนไป และนักเขียนส่วนมากได้ยอมรับการความเคลื่อนไหวของอิมามฮุเซน (๘๗) อับดุลญะลีล รอซี เขียนไว้ในหนังสือ นักฎุลวะชีอะฮ์ ว่า นักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์บางคน เช่น อิบนุ อิดรีส ชาฟิอี ได้เขียนบทลำนำเกี่ยวกับอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาชะฮีดแห่งกัรบะลาอ์ [๘๘] เช่น บทลำนำของชาฟิอี ซึ่งได้ขึ้นต้นด้วยบทกลอนต่อไปนี้ :

ฉันร้องไห้ให้กับฮุเซน และมรดกของฉันคือ การโต้แย้ง เขาเป็นดวงประทีบแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ของศาสนทูตของอัลลอฮ์(๘๙)

แหล่งอ้างอิง

หลังจากห้าสิบปีของการค้นคว้าวิจัยใหม่ที่เกี่ยวกับการลุกขึ้นต่อสู้ของฮุเซน (อ.) โดยซัยยิดญะอ์ฟัร ชะฮีดี

มีการเขียนผลงานต่างๆ เกี่ยวกับการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน ซึ่งบางส่วนเป็นผลงานที่วิเคราะห์เหตุผลและเป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน มีดังนี้ :

อาชูรอศึกษา : ผลงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) ประพันธ์โดย มุฮัมมัด เอสฟันดิยารี ซึ่งประกอบด้วยสามบท: การรู้จักเป้าหมาย เมืองกูฟะฮ์ การเลือกที่ถูกต้องของอิมาม และ มุมมองของนักวิชาการ ในส่วนที่สองของหนังสือ ผู้เขียนได้หยิบยกทฤษฎีทั้งเจ็ดประการเกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซน [๙๐] เขาเชื่อว่า อิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยความตั้งใจที่จะจัดตั้งการปกครอง ดังนั้น ส่วนที่สามตามความคิดเห็นของนักวิชาการชีอะฮ์ เกี่ยวกับเป้าหมายของอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งตรงตามความเห็นของผู้เขียนที่ได้รับมอบหมาย

หลังจากผ่านไปห้าสิบปี มีผลงานการค้นคว้าวิจัยใหม่เกี่ยวกับการลุกขึ้นต่อสู้ของฮุเซน (อ.) โดยซัยยิดญะอ์ฟัร ชะฮีดี (๑๒๙๗-๑๓๘๖ สุริยคติอิหร่าน) ซึ่งเขียนด้วยมุมมองเชิงวิเคราะห์ ในหนังสือเล่มนี้ ชาฮิดีได้ตรวจสอบบริบททางสังคม การเมือง ชาติพันธุ์ และทางศาสนาที่ก่อให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ในปี ๑๓๕๘ สุริยคติ

การครุ่นคิดเกี่ยวกับขบวนการอาชูรอ โดย เราะซูล ญะอ์ฟะรียอน ในหนังสือเล่มนี้ มีการแนะนำแหล่งข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กัรบะลาอ์ บริบทของการลุกขึ้นต่อสู้ คำอธิบายของเหตุการณ์ ปรัชญาของการเป็นชะฮีดของอิมามฮุเซน ผลลัพท์ของการลุกขึ้นต่อสู้ มิติต่างทางบทกวีและลักษณะของมัน การบิดเบือนของเหตุการณ์กัรบะลาอ์และประวัติศาสตร์การไว้อาลัยของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ให้กับอิมามฮุเซน (อ.) (๙๑)

การลุกขึ้นต่อสู้ของอาชูรอในคำพูดและสาส์นของอิมามโคมัยนี ส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยการบรรยายทั้งสามเรื่องเกี่ยวกับมุฮัรรอมและอาชูรอ ส่วนที่สองประกอบด้วยสาเหตุและปัจจัยของการลุกขึ้นต่อสู้ของอาชูรอ ปรัชญาของการไว้อาลัย และการกล่าวบทลำนำ และโดยสรุป มีการนำเสนอคำพูดที่คัดสรรมาแล้วของเขาเกี่ยวกับมุฮัรรอมและการลุกขึ้นต่อสู้แห่งกัรบะลาอ์ (๙๒) เป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน โดย นาศิร มะการิม ชีรอซี การตรวจสอบและวิเคราะห์การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งเป็นการบรรยายของซัยยิดมุฮัมมัด บากิร ฮะกีม การลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน (อ.) ในแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ เขียนโดยฆุลามฮุเซน ฟัยยาฎ ซึ่งเป็น หนังสือที่เขียนและจัดพิมพ์ในประเด็นนี้

เชิงอรรถ

บรรณานุกรม